Tag Archives: 2014

Association of Communication Companies Belgium: Sell the Jobless

sell the jobless

ลองจินตนาการดูนะครับ สมมติว่าวันนี้คุณเป็นคนที่ตกงานมา 5 ปีแล้ว ไปสมัครงานที่ไหนเค้าก็ไม่รับ เงินเก็บที่มีอยู่ก็ใกล้จะหมดแล้ว แล้วจู่ๆวันนึงก็มีคนยื่นมือแล้วบอกว่าจะช่วยให้คุณหางานทำ คุณจะรู้สึกยังไง?

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเบลเยี่ยมครับ มีสมาคมหนึ่งที่ชื่อว่า Association of Communication Companies (ACC) เค้าอยากจะทำแคมเปญ “Sell the jobless” (“ขาย” คนตกงาน) ด้วยการเฟ้นหานักโฆษณามือฉมัง โดยเริ่มต้นจากการเฟ้นหา Copy writer ซึ่งโดยปกติแล้ว งานโฆษณาที่วไปก็มักมักจะแต่ขายมือถือ รถยนต์รุ่นใหม่ หรือสเปรย์ฉีดเต่า แต่ในแคมเปญนี้เค้าจะได้ “ขาย” สิ่งที่มีความหมายมากกว่า นั่นก็คือ “คนตกงาน” ครับ จะทำยังไงคนตกงานให้เค้าได้งาน ด้วยทักษะที่ Copy writer ถนัดที่สุด “การใช้คำ”

(ลองนึกถึงว่าเวลาจะทำโปสเตอร์หนึ่งชิ้น ในวงการโฆษณาจะมีคนที่ทำชิ้นงานอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1. Art Director คนที่ทำหน้าที่คิด”ภาพ” และ 2. Copy writer คนที่ทำหน้าที่คิด”คำ” เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นต้องดูอันนี้ครับ http://www.multiple-owners.com/design-2/graph-design/copywriter-vs-art-director/)

แคมเปญนี้ริเริ่มกันคนตกงาน 14 คน โดยที่มี Copy writer เขียนจดหมายขายคนตกงานมากถึง 594 ฉบับ คนตกงานคนไหนที่ถูกบริษัทเรียกสัมภาษณ์ Copy writer คนที่เขียนจดหมายแนะนำให้ก็จะได้รับการจ้างงานจากสมาคมเช่นกัน

นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราได้เห็นการจับคู่ที่ดูเหมาะเจาะ คนตกงานก็จะได้งาน ส่วน Copy writer ก็จะได้งาน ส่วนสมาคมก็ได้นักโฆษณามือดี เรียกได้ว่าวิน-วิน วินแล้ววินอีก วินวินแบบแฮปปี้ไลฟ์กันเลยทีเดียว

sell the jobless2

sell the jobless3

Advertising Agency: Happiness Brussels, Belgium

Tagged , , , , , , , ,

City of Cape Town: Help the homeless this winter

Help the homeless this winter1

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ จะบอกว่าเป็นแคมเปญก็คงไม่เชิงครับ เพราะเหมือนทำขึ้นเพื่อเป็นช่องทางการระดมเงินบริจาค โดยที่ไม่มีอีเวนท์เพื่อสร้างการตอบโต้ไปมาระหว่างคนกับคนซักเท่าไหร่ครับ แต่ผมเห็นว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ เลยเอามาให้ดูกันครับ

งานชิ้นนี้เกิดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ครับ ซึ่งถ้าพูดถึงเมืองนี้เมื่อไหร่ จะนึกถึง “คนไร้บ้าน” (มีอีกแคมเปญที่ชื่อว่า The street store ก็เกิดขึ้นที่เมืองนี้หลายครั้ง) ขอเกริ่นก่อนว่าเมืองเคปทาวนท์เป็นเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะฉะนั้นจะได้เห็นคนรวยคนจนเดินปะปนกันไปหมด ซึ่งก็จะรวมถึงคนไร้บ้านด้วย……ผมกำลังพูดถึงคนไร้บ้านกว่า 7,000 คนที่กระจายตัวไปอยู่ตามมุมถนนครับ

ปัญหามันมีอยู่ว่า…………..เมื่อถึงหน้าหนาว เราทุกคนก็คงรู้ว่ามันหนาวขนาดไหน (ให้นึกถึงปีที่เมืองไทยมันหนาว แล้วจินตนาการตามนะครับ) ขนาดเราได้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ นอนในบ้านสบายๆ เราก็ว่ายังหนาวเลย แต่ลองนึกถึงคนไร้บ้านดูสิครับว่าในแต่ละคืนแต่ละวันเค้าจะต้องเจอกับอากาศช่วงกลางคืนที่หนาวกว่าปกติ ไม่ว่าเสื้อจะหนาขนาดไหนก็เอาไม่อยู่ครับ

ถ้าคิดว่านี่โหดแล้วผมบอกได้เลยว่ายังครับ เพราะที่เมืองเคปทาวน์ ฝนแม่งเสือกตกช่วงหน้าหนาวอีก! พ่อคุณเอ้ย แค่หนาวธรรมดาก็จะตายอยู่แล้ว นี้แถมฝนมาด้วย ใครเจอแบบนี้เข้าไปก็คงสั่นเหมือนแผ่นดินไหวพร้อมกับอาฟเตอร์ช็อคแบบรัวๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้วอะ

ทางทีมงานจึงได้รวมสรรพกำลังออกมาทำ “ข้อความโฆษณา” ที่คนทั่วไปจะเห็นได้เฉพาะตอนฝนตกเท่านั้น!! วิธีการเค้าง่ายมากครับ ด้วยการใช้สีสเปรย์กันน้ำบวกกับตัวสกรีนเทมเพลต แล้วเอาไปพ่นลงบนท้องถนนที่มีคนเดินผ่านเยอะๆ เมื่อฝนตก ข้อความนั้นก็จะแสดงขึ้นมาครับ “มาช่วยให้คนไร้บ้านออกจากถนนในช่วงหน้าหนาวนี้” พร้อมกับรูปเงาคนไร้บ้านและข้อความให้ส่ง SMS บริจาคเพื่อนำเงินไปสร้างที่พักให้กับคนไร้บ้านในเมืองเคปทาวน์

เอาจริงๆเลยนะครับ การใช้สีสเปรย์กันน้ำพ่นลงบนพื้นเพื่อส่งข้อความอะไรบางอย่าง เป็นวิธีที่หลายบริษัททั่วๆไปใช้สำหรับการขายของ และมีเคสให้ดูเยอะมาก ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย แต่สำหรับแคมเปญนี้ก็เพิ่งได้เห็นการนำคอนเซปต์แบบนี้มาใช้กับงานด้านสังคม ซึ่งถือเป็นแคมเปญแรกตั้งแต่ที่ทำบล็อกมา ซึ่งดูแล้วก็น่าสนใจดีครับ ทำออกมาได้ดูอบอุ่นและมีความหวัง ถือได้ว่าเป็นสีสันและความงดงามหนึ่งบนท้องถนนที่ทำให้เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตก็ได้นะครับ 

Help the homeless this winter2 Help the homeless this winter3 Help the homeless this winter4 Help the homeless this winter5

Advertising Agency: King James Group, Cape Town, South Africa

Tagged , , , , , , , , ,

National Neurological Institute: Alzheimer’s News Editors

Alzheimer's News Editors1

ครั้งแรกที่ได้ดูแคมเปญนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า “อื้อหือ” เรียบง่ายแต่ล้ำลึกจริงๆ

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศมาซิโดเนีย  แคมเปญนี้เริ่มต้นจากสถาบันประสาทแห่งชาติเค้าอยากจะให้ชาวมาซีโดเนียหันมาสนใจประเด็นเรื่องโรคอัลไซเมอร์กันมากขึ้น อยากให้มาตรวจกันกันตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้ ก็อย่างที่รู้กันครับโรคนี้มันคือโรคความจำเสื่อม แต่จะขอเสริมอีกนิดนึงว่าคนที่เป็นโรคนี้จะจำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องในอดีตนะพ่อคุณเอ้ย เล่าได้ลึกซะยิ่งกว่าเส้นใยทอละเอียดสิบแปดนาโนเมตร

วิธีคิดของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ ทางทีมงานเค้าก็ได้เข้าไปหากลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์จริงๆ แล้วขอให้พวกเค้าเล่า “ข่าว” ที่พวกเค้าจำได้ล่าสุดให้ทีมงานฟัง ซึ่งข่าวที่กลุ่มผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้น ทีมงานก็จะไปค้นหาหนังสือพิมพ์เก่าที่มีข่าวเหล่านั้นอยู่ ตัด แล้วเอามาแปะ ทำเป็นหนังสือพิมพ์เล่มใหม่ จากนั้นทีมงานก็ได้ขอให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในประเทศทั้ง 3 เจ้า เอาหนังสือพิมพ์ฉบับอัลไซเมอร์มาลงไว้ในหน้าแรกในวันอัลไซเมอร์สากล

ลองคิดภาพดูเล่นๆนะครับว่าถ้าสมมติเอามาลงๆทยรัฐหรือเดลินิวส์ จะมีคนไทยเห็นข่าวนี้กี่คน แต่ยังครับ ยังไม่หมด ทางช่องทีวีเค้าก็เล่นด้วย ด้วยการเอาข่าวเก่ามากออกอากาศ อย่างเช่น ข่าวควีนไดอาน่า ข่าว 9/11 ข่าวยานอพอลโล 11 ลงจอดที่ดวงจันทร์ พร้อมกับตบท้ายว่า “ถ้าไม่อยากจำได้แค่เรื่องราวพวกนี้ มึงจงไปตรวจซะ”

ความเจ๋งของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ เพราะเข้าถึงชาวมาซีโดเนียได้ถึง 68% และมีคนเข้ารับคำปรึกษาเรื่องโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเดิมถึง 215% ไม่ใช่เล่นๆเลยนะตัวเธอว์

ก็กลับมาที่คอนเซปต์คลาสสิกสำหรับการทำแคมเปญครับ คือเรื่องของ “การส่งมอบประสบการณ์” แม้แคมเปญนี้จะไม่ได้เน้นสร้างแคมเปญให้ดูอีโม แต่ด้วยช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่มหาศาลที่มาพร้อมกับกิมมิคเจ๋งๆที่ทำให้ชาวมาซีโดเนียมีกระตุก จึงทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่มีข้อกังขา เพราะอย่างนี้ นี่เองงงงงงง!

Alzheimer's News Editors2 Alzheimer's News Editors3

Alzheimer's News Editors4

Advertising Agency: Publicis, Skopje, Macedonia

Tagged , , , , , , , , ,

ปลูก “ไม้ประแดก” at Ma:D Social Entrepreneurs Hub

20140824_132014

สวัสดีครับทุกท่าน ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเคยไปปลูกข้าวมั้ย ถ้ายังไม่เคย ผมจะชวนทุกคนมาปลูกข้าวกันครับ 🙂 แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณไม่ต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าไปไหนทั้งนั้น เพราะผมจะมาชวนคุณปลูกข้าวที่บ้านของคุณนั่นแหละ จะเป็นบ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดก็ปลูกได้หมดครับ

เมื่อวานนี้ผมได้ไปงานเวิร์คช็อป “ปลูก ไม้ประแดก” ซึ่งงานนี้ผู้จัดตั้งใจทำเป็นแคมเปญใหญ่เลยครับ เป็นงานที่มีแนวคิดว่า เราสามารถปลูกพืชประดับเพื่อตกแต่งบ้านก็ได้ แถมยัง “แดก” ได้ด้วยนะ! ใช่ครับ ไม้ประแดกที่ว่านี่ก็คือ “ข้าว” นี่แหละครับ

ลองนึกภาพดูสิครับว่าสิ่งที่พ่อแม่เราบอกกันนักหนาว่าให้กินข้าวให้หมดจาน หรือแม้แต่กระทั่งสิ่งผู้นำประเทศมักจะบอกกับเราอยู่เสมอว่าข้าวเป็นสมบัติของชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาหลายร้อยปี แต่สุดท้ายคนเมืองธรรมดาอบ่างเราเห็นข้าวมันถูกแพ็คมาเป็น “ถุง” เรียบร้อยแล้ว คำถามของผมก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของข้าวมากแค่ไหน เพียงแค่เราได้เห็นแค่ปลายทางของมัน?

20140824_134733

แคมเปญปลูกไม้ประแดกจึงคิดว่าอยากส่งมอบประสบการณ์ความเป็นชาวนาและศิลปินมาสู่คนเมือง คนที่กินข้าวทุกวันแต่กลับไม่รู้ที่มา ให้พวกเค้าได้สัมผัส ให้พวกเค้าได้รับรู้ถึงความยากลำบากของชาวนา โดยที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมายเลย ขอเพียงแค่มุมหนึ่งในบ้านหรือที่ทำงานของคุณ แล้วลองดูซิว่าพื้นที่เพียงเล็กน้อย คุณจะสามารถรับผิดชอบมันได้มากแค่ไหน?

20140825_105422

แคมเปญนี้จะใช้ผลิตภัณฑ์มาเป็นตัวส่งมอบประสบการณ์ครับ ด้วยการจัดแพ็คเกจที่คุณสามารถนำไปปลูกที่บ้านได้เลย ซึ่งในหนึ่งชุดก็จะมีแผ่นพับบอกรายละเอียดและวิธีการปลูกของข้าวแต่ละสายพันธุ์ ปุ๋ยขี้ค้างคาว ไตรโคเดอมาแบบน้ำ (เชื้อราดีที่เอาไว้แช่เมล็ดข้าวเพื่อป้องกันเชื้อรา)ไตรโคเดอมาแบบผง (ผสมกับดินเพื่อป้องกันเชื้อราในดิน)ถ้วยกระดาษย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (แหล่งอนุบาลพันธุ์ข้าว) ป้ายปัก (บอกชื่อพันธุ์และวันที่เริ่มปลูก) กระถางปลูกข้าว (สูงไม่น้อยกว่า 30 cm และไม่มีรูระบายน้ำ) และสุดท้ายพระเอกของเรา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เราคัดมากับมือ (มีให้เลือก5 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมปทุมเทพ ข้าวก่ำดอ ข้าวลืมผัว ข้าวปะกาอำปิล และข้าวหอมนิล) ซึ่งวันนี้ผมก็ได้เลือกข้าวหอมปทุมเทพมาครับ

20140824_132106

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากการคัดสายพันธุ์ข้าวครับ ซึ่งพี่เค้าบอกว่านี่คือองค์ความรู้ชุดแรกที่เกษตรกรควรจะมี (เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าเราจะต้องกินข้าวพันธุ์ไหน) ซึ่งก็มีหลักการอยู่ว่า จมูกข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีไข่ปลาซิว และหัวกับท้ายเมล็ดจะต้องตรงเสมอกัน ซึ่งเหตุผลที่ต้องคัดพันธุ์ก่อนก็เพราะว่าเราจะเลือกอดัมกับอีฟของข้าวที่จะเอามาไว้ในบ้านเรา การเลือกพันธุ์ที่ดีก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและการขยายพันธุ์มากขึ้น ขอบอกตรงๆเลยว่าแค่ขั้นตอนนี้ก็โคตรยากและใช้สมาธิมาก ใช้เวลากัน 2-3 ชั่วโมง (ในรายละเอียดมีอีกเยอะ ต้องลองเข้าเวิร์คช็อปดูครับ)

อีเวนท์ที่จัดขึ้นจบที่ขั้นตอนนี้ครับ ที่เหลือก็รอให้เหล่า “เกษตรกร” หน้าใหม่ขนชุดปลูกข้าวมินิกลับไปลองปลูกดูที่บ้าน ตั้งกลุ่มรายงานผล อีกสักอาทิตย์นึงคงได้เห็นความก้าวหน้าครับ 🙂

ก็อย่างที่เล่าไปตอนแรกครับ แคมเปญนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นชาวนาได้ถึงในบ้าน เพราะคนเมืองไม่ค่อยรู้ถึงแหล่งที่มาของข้าว แคมเปญนี้จึงเป็นช่องทาง “สื่อสารโดยตรง” ระหว่างผู้ปลูกกับผู้กิน ให้ผู้กินได้มองเห็นถึงคุณค่าและได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ และอาจจะเป็นฐานนำไปสู่การสร้างระบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบการปลูกข้าวในเมืองซึ่งกันและกัน เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง และสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือเราทุกคนก็จะมีส่วนในการช่วยกันรักษาพันธุ์ข้าวดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่รู้กันครับ นโยบายด้านข้าวในระดับชาติมักจะถูกผูกโยงกับเรื่องของตลาด ทำยังไงก็ได้ให้ขายได้เยอะๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิศทางของการผลิตข้าวก็จะถูกแปรเปลี่ยนจากคุณภาพไปสู่ปริมาณ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองก็จะเริ่มหยุดพัฒนาสายพันธุ์และสูญหายไปในที่สุด

ประกอบกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้แทบจะไม่มีใครสนใจไปทำงานภาคการเกษตร ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนรุ่นใหม่อาจจะเผชิญกับวิกฤตทางด้านอาหารครั้งรุนแรงก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แคมเปญนี้กำลังทำอยู่จึงไม่ใช่เพียงแค่ส่งมอบประสบการณ์ชิคๆคูลๆครับ แต่อาจจะไปไกลถึงการกำหนดอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศก็เป็นไปได้นะครับ นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วครับ

(ถ้าท่านไหนสนใจเข้าเวิร์คช็อป “ปลูกไม้ประแดก” ต้องอดใจรอสักนิดนะครับ ได้ข่าวแว่วๆมาว่าจะจัดกลางเดือนหน้าอีกรอบที่เอกมัย แล้วจะมาบอกข่าวอีกทีนะครับ)

Tagged , , , , , , , , , , ,

Beat Bowel Cancer Aotearoa: Bums Are Full Of Surprises

Bums Are Full Of Surprises1

มาอีกแล้วครับ สำหรับแคมเปญฮาๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าพระเอกของแคมเปญนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพหรือวิดีโอเครับ แต่มันอยู่ที่ “เสียง”ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ดูวิดีโอแคมเปญนี้ คุณจะไม่เก็ท แล้วคุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแน่นอนครับ

Beat Bowel Cancer Aotearoa องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง Awareness ให้ความรู้ ช่วยเหลือ และทำวิจัยเกี่ยวกับ “มะเร็งลำไส้” ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก อยากจะทำสร้างแคมเปญที่ให้ผู้คนในนิวซีแลนด์หันมาสนใจปัญหามะเร็งลำไส้กันมากขึ้น เพราะจากสถิติพบว่าในจำนวนคนนิวซีแลนด์ประมาณ 4.5 ล้านคน ทุกๆ 1,000 คนจะตรวจพบคนที่เป็นมะเร็งลำไส้เฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 9.3 คน หรือพูดง่ายๆก็คือคนนิวซีแลนด์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้เกือบ 1% คิดแบบกลมๆก็หมายความว่าจะมีคนนิวซีแลนด์เป็นมะเร็งลำไส้ถึง 45,000 คน คร่าชีวิตชาวนิวซีแลนด์มากกว่ามะเร็งเต้านมรวมกับมะเร็งต่อมลูกหมากซะอีก (เริ่มเยอะแล้วใช่มั้ยครับ) เค้าก็เลยคิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้

ถ้าคุณได้ดูวิดีโอเปิดตัวแคมเปญนี้ คุณจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนกางขาอยู่บนรถบรรทุก 2 คัน นายคนนี้ชื่อว่า Jean-Claude Van Damme เป็นนักแสดงชื่อดังที่เก่งด้านหนังบู๊แอคชั่น ซึ่งเค้าถูกจ้างมาเล่นในแคมเปญ The Epic Split เพื่อโชว์แสนยานุภาพของรถบรรทุก Volvo ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ว่ามันเสถียรขนาดกล้าให้นักแสดงคนนี้ขึ้นไปเล่นอะไรพิเรนทร์ๆแบบนี้ได้
แต่สุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะแยกขา 180 องศา ก็มีเสียง “ปี๊ดดดดดดดดดด” ลากยาวออกมา……….. วอทเดอะ!!

Beat Bowel Cancer Aotearoa ได้สร้างเว็บไซท์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งโดยหน้าที่หลักๆของมันแล้ว มันคือเว็บที่เอาไว้ตัดต่อ “เสียงตด” ไปใส่ไว้ในวิดีโออื่นๆ ที่ต้องเป็นเสียงตดก็เพราะว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้จะมีอาการหนึ่งซึ่งผมว่าทุกคนก็น่าจะรู้ซึ่งก็คือ “ควบคุมประตูหลัง” ไม่ค่อยอยู่ ก็อาจจะมีเสียงลมเล็ดลอดออกมาบ้าง กล้อมแกล้มกับพอขมปากขมคอ

แล้วก็โดนกันหมดฮะ เริ่มตั้งแต่วิดีโอแมว การ์ตูน วิดีโอสอนออกกำลังกาย รวมไปถึงวิดีโอดังจากทั่วทั้งมุมโลก แล้วเสียงตดก็มีให้เลือกหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่เสียงตดมด เสียงปืนกล เสียงครกระเบิด ไปจนถึงเสียงเครื่องบินเทคออฟ จะทุ้มจะแหลมจะเบสหนักแค่ไหนก็แล้วแต่จังหวะความคิดสร้างสรรค์ของคุณเลย ซึ่งเมื่อตัดต่อเสร็จ คุณก็สามารถแชร์กับเพื่อนๆบนเฟซบุ๊คหรือแพลตฟอร์มอื่นๆได้

เมื่อเพื่อนของคุณคลิกเข้าไป มันก็จะไปโผล่หน้าวิดีโอที่คุณเพิ่งใส่เสียงตดลงไป แล้วก็จะมีออพชั่นว่าคุณอยากจะบริจาคเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ หรือจะเล่นเอาสนุกเฉยๆก็ไม่ว่ากันครับ ไปลองเล่นกันดูที่ http://www.beatbowelcancer.org.nz/bums-are-full-of-surprises/ ได้เลยนะ

พูดง่ายๆก็คือว่าแคมเปญนี้พยายามที่จะ “แย่งซีน” (Hijack) เหล่าคลิปดังๆทั้งหลาย เพื่อให้คนนิวซีแลนด์มาสนใจเรื่องมะเร็งลำไส้กันมากขึ้นครับ ก็นับได้ว่าเป็นการแย่งซีนที่สร้างสรรค์ และสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ โดยที่ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้เมือยตุ้มกันเลยครับ

เมื่อตะกี้ผมก็ลองเล่นดู อาจจะทำออกมากากๆหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ 😀 (http://www.beatbowelcancer.org.nz/fartbomb/video.php?id=540)

อ้อ! แล้วก็อย่าลืมนะครับ เล่นสนุกได้ แต่ขอให้อย่าลืมประเด็นที่เค้าอยากจะสื่อสารด้วยนะครับ อย่าเล่นจนเพลินเน้ออ

Bums Are Full Of Surprises2 Bums Are Full Of Surprises3

Advertising Agency: Whybin\TBWA, Auckland, New Zealand

Tagged , , , , , , , , , ,

VinziRast: Vinzi Gast

Vinzi Gast1

ถ้าได้อ่านบล็อกของผมมาสักพัก หลายท่านจะเริ่มจับจุดได้ว่าแคมเปญที่ผมเลือกมามักจะมีปัญหาทางด้าน “การสื่อสาร” แทบจะทุกเคส ถ้าลองสังเกตดู มันคือปัญหาเดิมๆที่อยู่คู่โลกมาหลายปีแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วละว่าปัญหามันยังคงมีอยู่ แต่น้อยคนที่สนใจและใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง

Vinzirast องค์กรที่บริหารงานโดยเอกชนในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่ทำหน้าที่จัดหาที่พักข้ามคืน อาหาร ทำความสะอาดเสื้อผ้า ให้กับคนไร้บ้าน กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินที่ได้รับบริจาคน้อยลงทุกปีๆ ในขณะที่จำนวนประชากรคนไร้บ้านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จะทำอย่างไรให้คนหันมาสนใจและบริจาคเงินให้กับ Vinzirast (ให้นึกภาพว่าทุกๆคืนที่ออสเตรียมันหนาวมาก บางครั้งก็เป็นตัวแบ่งแยกความเป็นตายได้เลย)

เป็นคุณ คุณจะช่วย Vinzirast ยังไงครับ? ………… ก่อนจะอ่านต่อ ผมขอให้ลองหยุดคิดสัก 20 วินาที ไม่แน่คุณอาจจะมีวิธีที่ดีกว่าเขาก็ได้ครับ (ผมไม่แน่ใจว่าผมสปอยล์ไปแล้วรึเปล่านะ 555)

และวิธีการที่เขาเลือกใช้ก็คือ สร้าง Page บน Facebook ที่ใช้ชื่อว่า Vinzi Gast (แขกของ Vinzirast)เพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่าในแต่ละวันเค้าจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง เค้าคิดอะไรอยู่ เค้ากินเค้านอนยังไง แล้วสภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่มันเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างแบบ Real-time ให้คนทั่วๆไปอย่างเราได้เห็นว่าพวกเขาแม่งลำบากแค่ไหน (เชิญชมได้ที่ https://www.facebook.com/pages/Vinzi-Gast/252724914886559)

หลักจากที่เกิด Vinzi Gast ได้สักพัก สังคมก็เริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นเรื่องคนไร้บ้านกันอีกครั้ง เกิดเป็นชุมชนออนไลน์ที่คนทั่วๆไปหลายคนเริ่มเข้ามาเสนองานให้ทำ ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ และเสนอความช่วยเหลืออื่นๆอีกมากมาย

แคมเปญนี้ได้รับคำชื่นชมจากสังคม Facefook มากกว่า 4 ล้านครั้ง ได้พื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่า 1 แสนยูโร ได้รับเงินบริจาคเข้า Vinzirast กว่า 200% และที่สำคัญที่สุด ชายไร้บ้านนิรนามผ Vinzi Gast ผู้นี้ก็ได้งานทำและไม่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านอีกต่อไป

น่าเสียดายตรงที่ว่า Vinzi Gast ได้หยุดอัพเดตไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ยังไงก็ยังสามารถเข้าไปย้อนดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนไร้บ้านในออสเตรียได้ครับ

นึกถึงเมืองไทยผมก็เห็นว่าคนไทยมีคนไร้บ้านอยู่ไม่น้อยเลย แถมยังมีข่าวอยู่พักหนึ่งว่าถูกวัยรุ่นรุมทำร้ายจนสาหัส เอาจริงๆผมว่าปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่เล็กนะครับ ถ้าใครมีไอเดียทำแคมเปญหรือวิธีแก้ไขปัญหาก็ลองคอมเมนท์ไว้ดูนะครับ ไม่แน่นะครับ เรื่องดีๆแคมเปญดีๆอาจจะเกิดจากเพจนี้ก็ได้ ถ้าเราร่วมมือกันครับ 😀

Vinzi Gast2 Vinzi Gast3

Advertising Agency :Demner Merlicek & Bergmann, Vienna, Austria

Tagged , , , , , , ,

Harrison’s Fund: I wish my son had cancer

i wish my son has cancer

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ เราพามาดูกันที่อังกฤษครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้บอกตรงๆเลยว่า “แม่งแทบจะไม่มีอะไรเลยนี่หว่า” ทั้งตัวไอเดียและสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ได้มีอะไรที่ว้าวเลย ที่น่าสนใจก็คงจะมีแต่ถ้อยคำที่ดู “ยุแหย่” ให้เกิดความดราม่า ตรงนี้แหละครับประเด็น!

เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่ว่ามีคุณพ่อท่านหนึ่ง เขามาลูกชายอายุ 6 ขวบชื่อว่า Harrison แต่น่าอนิจจาที่ลูกของเขาป่วยเป็นโรค Duchenne muscular dystrophy (DMD) หรือถ้าพูดง่ายๆก็คือโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Duchenne_muscular_dystrophy) ซึ่งความโชคร้ายมันอยู่ตรงที่ว่าโรคนี้ยัง ไม่สามารถรักษาได้ อีกทั้งมีสถิติที่บ่งบอกว่าคนที่เป็นโรคนี้จะต้องเสียชีวิตภายในอายุไม่เกิน 20 ปี

เมื่อคุณพ่อได้ทราบเรื่องดังกล่าว เข้าจึงได้ตั้งมูลนิธิที่ชื่อว่า Harrison’s Fund (ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน) ทำหน้าที่ระดมเงินบริจาคเพื่อนำมาใช้ในงานวิจัยและรักษาโรค DMD แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่าโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ถูกค้นพบได้ไม่นาน คนยังไม่รู้จัก การจะไปขอเงินเพื่อทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคใหม่ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะฉะนั้น คุณพ่อจึงคิดว่าควรจะต้องทำให้โรคนี้เป็นประเด็นที่พูดถึงกันในสังคม

คุณพ่อท่านที่จึงขอให้ ais เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่งในลอนดอนช่วยทำแคมเปญให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนมากขึ้น และหน้าตาของแคมเปญก็ออกมาแบบเรียบง่ายมากครับ เพียงแค่ Print ad หนึ่งชิ้นที่มาพร้อมกับข้อความที่ดู “ยุแหย่” ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอ่าน

“ผมอยากให้ลูกเป็นมะเร็ง”

“แฮริสัน ลูกชายวัย 6 ขวบของผม เขาเป็นโรค DMD เขาเป็นหนึ่งในจำนวน 2,500 คนที่เป็นโรคนี้ทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ซึ่งส่วนใหญ่จะตายตอนอายุ 20 ปี ไม่เหมือนกับโรคมะเร็ง เพราะโรคนี้ไม่มีแม้แต่ทางเยียวยาและรักษา อีกทั้งโรคนี้ผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักดี จึงทำให้เงินที่มาสนับสนุนวิจัยโรคนี้น้อยนัก ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผมคือการระดมเงินเพื่อให้เหล่านักวิทยาศาสตร์นำไปใช้ในการวิจัย พวกเขาเริ่มเข้าใกล้สู่การค้นพบแล้ว เพียงแค่ 5 ปอนด์ในมือของท่าน ก็ช่วยให้พวกเขาเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น”

“ร่วมกับหยุดโรค DMD ด้วยการส่งข้อความ STOP13 5£ มาที่ 70070 หรือเข้าไปที่ harrisonfund.com”

ช่างเรียบง่ายและกระแทกอารมณ์ยิ่งนัก ถ้าเป็นคุณ คุณจะช่วยเขามั้ยครับ?

Advertising Agency: ais, London, United Kingdom

Tagged , , , , , , , , ,

World Vision Korea: Children of Fidelity

Children of Fidelity1

ว่ากันว่างานโฆษณาแถบเอเชียจะเก่งมากในเรื่องการทำแคมเปญแนวดราม่า ซึ่งคราวนี้จะพามาดูเคสในเกาหลีใต้กันครับ ดูครั้งแรกก็เล่นเอาน้ำตาซึมเหมือนกันนะฮะ

เริ่มแรกสำหรับแคมเปญนี้เค้าก็จั่วเรื่องขึ้นมาดื้อๆเลยครับ เค้าบอกว่าจะมีการแคสบทภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Children of Fidelity” โดยมี Producer ชื่อดังนามว่า คิมโบซอง มาเป็นกรรมการตัดสินครับ และแน่นอนว่าถ้าชื่อเรื่องมาแบบนี้ เค้าต้องแคสเด็กแน่นอนครับ

และบทที่แคสก็แสนจะประหลาด อย่างเช่น ให้เด็กลองดื่มน้ำสกปรก ให้เด็กสนตะพายแบกของหนัก และให้เด็กปีนขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ลที่อยู่สูงถึง 2- 3 เมตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ว่าเหล่าพ่อแม่ที่พาลูกมาก็ต่างหวาดวิตกกับการแคสบทภาพยนตร์ในครั้งนี้

จนกระทั่งการแคสเสร็จสิ้น ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยครับ

“คุณแม่ครับ ผมต้องขอโทษคุณแม่ทุกท่านอย่างสุดซึ้งจริงๆนะครับ วันนี้ เราได้ขอยืมความกล้าหาญของเด็กๆมาถ่ายทอดเรื่องราวที่คนทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่กลับแทบไม่มีใครสนใจ เพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกของพวกเรา”

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องดื่มน้ำที่ไม่สะอาด” ฉาพภาพเด็กแอฟริกันในเคนยา ตักน้ำจากแหล่งน้ำที่……….. ต้องดูเอาเองครับ

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำงานหนัก” ฉายภาพเด็กแอฟริกันจากแทนซาเนียที่กำลังกระเทาะหินเพื่อหาแร่มีค่า

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำเรื่องที่เสี่ยงอันตราย” ฉายภาพเด็กสาวชาวกานาอายุ 9 ปี ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้

มีสถิติที่น่าตกใจว่าทุกๆ 20 วินาทีจะมีเด็กตายหนึ่งคน อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารและโรคบิด

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องทุกทรมานจากความหิวโหย”

หลักจากนั้นก็ฉายภาพเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในแอฟริกาที่ผมเห็นครั้งแรกแล้วก็รู้สึกตกใจมาก มันมีประโยคหนึ่งที่ผมอ่านแล้วแทบจุกอกคือ “นี่คือลูกอมชิ้นแรกในชีวิตของเขา ที่มีค่ามากกว่าเพชรพลอยทั้งหลาย”

เอาเป็นว่า แคมเปญนี้มันมีความน่าสนใจตรงที่ว่าได้สื่อสารกับคนทั้งสองวัยคือทั้งตัวพ่อแม่และตัวเด็กเอง ซึ่งผมมองว่าทรงคุณค่ามากกว่าแค่การทำแคมเปญเชิงดราม่าเรียกน้ำตาแล้วสุดท้ายก็ระดมทุน สิ่งที่อแคมเปญนี้ไปได้ไกลกว่าคือการปลูกฝังสำนึกให้กับตัวเด็ก ให้พวกเขาได้รู้ตัวว่ายังมีเพื่อนในวัยเดียวกันกับพวกเขาที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง

ก็นั่นแหละครับ พ่อแม่ก็น้ำตาแตกกันไปทั่วหน้า แล้วคุณละครับ รู้สึกยังไง?

[อย่าลืมเปิดซับด้วยนะครับ หรือถ้าใครคล่องเกาหลีก็ไม่ว่ากันครับ]

Children of Fidelity2 Children of Fidelity3 Children of Fidelity4 Children of Fidelity5 Children of Fidelity6 Children of Fidelity7 Children of Fidelity8 Children of Fidelity9

Advertising Agency: AdQUA interactive, Seoul, South Korea

Tagged , , , , , , , , ,

Unicef: The Rolypoly Donation box

UNICEF Rolypoly donation box3

มาอีกแล้วสำหรับแคมเปญแนว Fun Theory เพียงแต่รอบนี้อาจจะต้องรอนานหน่อยกว่าจะเห็นผล

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากเรื่องที่เราทั่วๆไปคงรู้กันอยู่แล้วครับ นั่นก็คือเรื่องปัญหาความอดอยากและโรคระบาดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีเด็กๆนับล้านชีวิตในประเทศเหล่านี้ได้เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ทั้งๆที่เงินไม่กี่เหรียญในมือของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถพลิกความเป็นตายได้เลยทีเดียว

แคมเปญนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเด็กเหล่านั้นครับ โดยแคมเปญจริงๆเค้าทำที่เกาหลีใต้ และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่ทำตุ๊กตาล้ม(ที่ยังไม่)ลุก มาวางไว้ตามที่สาธารณะ โดยเชิญชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยการหยอดเหรียญถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ตุ๊กตายืนขึ้นมาได้ ตรงกับสโลแกนของแคมเปญนี้ที่ว่า “Providing just a little help could save their lives and give them the strengh to stand up on their own”

แคมเปญนี้จะเป็นยังไง เชิญรับชมครับ 😀

UNICEF Rolypoly donation box2 UNICEF Rolypoly donation box4 UNICEF Rolypoly donation box5

Advertising Agency: Daehong Communications Inc, Seoul, Korea

Tagged , , , , , , , , , ,

Mimi Foundation: If only a second

If only a sec3

ถ้าวันนี้ผมขอให้คุณลองดีไซน์แคมเปญที่ทำเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง เป็นคุณ คุณอยากให้มันออกมาหน้าตาเป็นยังไงครับ?

ถ้าเป็นผม ผมวาดภาพเอาไว้ว่ามันจะต้องวาดภาพออกมาดราม่าแน่ๆ และเรื่องราวก็คงมาในธีม “ลมหายใจสุดท้ายที่สวยงาม” ด้วยการเชิญเหล่าผู้ป่วยมาแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ทำ Photobook ขายแล้วก็ระดมทุนเพื่อไปช่วยผู้ป่วยคนอื่นๆ แน่นอนครับว่าภาพที่ออกมาแม้จะดูสวยงามแต่ก็คงหดหู่ชอบกล

แต่แคมเปญนี้มาเหนือกว่าภาพในจินตนาการของผมหลายเท่านัก จนผมบอกได้เต็มปากเลยว่าแคมเปญนี้เป็นแคมเปญที่ผมชอบมากที่สุดในงาน Cannes Lion 2014 แม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่ได้ Gold ก็เถอะ

เรื่องมันก็เหมือนที่ผมเกริ่นมาก่อนนั่นแหละครับ ถ้าจะทำแนวดราม่ามันก็คงไม่ผิดหรอก แต่ทำแล้วจะได้อะไรนี่สิเป็นคำถามสำคัญ

คือถ้าทำเปนแนวดราม่า ผลสุดท้ายลองนึกถึงผู้ป่วยว่าเค้าจะรู้สึกยังไง “ฉันสวยจัง ฉันพอใจ นี่คือความสุขสุดท้ายของฉัน แล้วฉันก็จะตายอย่างสงบ” ฟังดูเศร้าโคตรๆ แล้วเราต้องการแค่นี้เหรอ

แคมเปญนี้เพียงแค่พลิกมุมมองนิดหน่อยก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมากครับ

มันมีคำกล่าวหนึ่งที่พูดถึงโมเมนท์ “Carefree” ซึ่งมันแปลเป็นไทยค่อยข้างยาก แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่ามันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้กังวล เหมือนคำโฆษณาผ้าอนามันยังไงยังงั้นและแหละ ไอ้โมเมนท์ที่ว่าเนี่ยมันสร้างผลเชิงบวกทางอารมณ์ให้กับผู้ป่วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ป่วยอารมณ์ดี โอกาสที่จะรักษามะเร็งหายก็จะเพิ่มมากขึ้น

เค้าก็เลยจับเอาผู้ป่วยมาตั้งไว้หน้ากระจกสองด้าน และขอให้พวกเขาหลับตา จากนั้นทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมก็ละเลงกันเลยครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น ผู่ป่วยเค้าก็คงคาดหวังว่าเมื่อฉันลืมตาแล้วฉันจะต้องสวยที่สุดในชีวิต แต่มันหักมุมตรงที่ว่าแคมเปญนี้เค้าไม่เอาครับ เค้ากลับแต่งหน้าทำผมให้ผู้ป่วยดูประหลาด ดูตลก ดูบ้าๆบอๆ

จนกระทั่งทีมงานขอให้พวกเขาลืมตา โมเมนท์แรกที่เค้าเห็นตัวเองก็ประหลาดใจสุดๆ เพราะผิดจากความคาดหวังมากๆ โดยทุกๆอิริยาบถก็จะถูกช่างภาพในอีกด้านของกระจกถ่ายภาพเก็บไว้ โมเมนท์นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า “Carefree” เพียงแต่ไม่กี่วินาที ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมความเจ็บป่วยไปชั่วขณะ นี่แหละครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อแคมเปญว่า If only a second

ส่วนภาพที่ถ่ายไว้ก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ไปทำปุ๋ยนะครับ เค้าเอามาจัดทำเป็นนิทรรศการพร้อมกับ Photobook เพื่อระดมทุนเข้ามูลนิธิ Mimi Foundation เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อๆไป

เห็นไหมครับว่าเพียงแค่พลิกมุมความคิดนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ได้มหาศาลมาก ผมว่ายากนะสำหรับการทำแคมเปญใดแคมเปญหนึ่งที่มีส่วนผสมของความดราม่าและฟีลกู้ดเอาไว้ด้วยกัน ดูกี่ครั้งก็ซึ้ง 🙂

Advertising Agency: Leo Burnett, Paris, France

If only a sec2 If only a sec4 If only a sec5 If only a sec1

Photo credit: adoftheworld

 

Tagged , , , , , , , , ,