Category Archives: Politics

Colombian Ministry of Defense: Creativity vs. Terrorism

You are my son

ทุกครั้งที่ได้ดูแคมเปญที่ทำเกี่ยวกับด้านการเมือง การเจรจา และความมั่นคง มักทำให้ผมตื่นเต้น และเมื่อใดก็ตามที่หน่วยงานรัฐบาลจับมือกับเอเจนซี่ เรามักจะได้เห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจแทบทุกครั้ง

สำหรับแคมเปญนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศโคลอมเบีย ซึ่งที่นี่ทางรัฐบาลโคลอมเบียมีปัญหาทางด้านการเมือง ต้องสู้รบปรบมือกับกลุ่มกบฎติดอาวุธที่ชื่อว่า FARC มาตั้งแต่ปี 1964 (http://www.globalsecurity.org/military/world/para/farc.htm) กลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้นับว่าเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัฐบาลโคลอมเบีย เพราะมักจะเกี่ยวพันกับการลักพาตัวผู้นำทางการเมืองเพื่อเรียกค่าไถ่ การทำเหมืองแบบผิดกฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือเป็นแหล่งผลิตและกระจายยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้

ถ้าถามว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ใหญ่มากแค่ไหน อ้างอิงจากคำพูดของประธานาธิบดีโคลอมเบีย  Juan Manuel Santos เค้าบอกว่ากลุ่มนี้มีคนมากถึง 26,000 คน โดยที่มีไม่น้อยเลยที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับ FARC ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก (ถ้าไม่เข้าก็ถูกยิง)

แคมเปญนี้จึงอาศัยจังหวะเทศกาล Christmas มาเป็นตัวเชื่อมต่อให้ไอเดียมีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากยิ่งขึ้น ลองนึกภาพดูก็ได้ครับ เทศกาลนี้ก็ควรจะเป็นภาพที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กินข้าวสังสรรค์กันอย่างมีความสุข แต่ด้วยโชคชะตา นับสิบปีมาแล้วที่ครอบครัวไม่เคยเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์จริงๆ แคมเปญนี้จึงเสริมประเด็นเรื่อง “แม่” ให้เป็นจุดเชื่อมต่อทางอารมณ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ทางกอลทัพโคลอมเบียจึงได้ขอรูปภาพในวัยเยาว์จากคุณแม่มาทำโปสเตอร์ติดประกาศหาคนหายไปทั่วเมือง ติดตั้งไฟคริสต์มาสในป่า ทำลูกบอลพลาสติกที่ใส่ข้อความว่า “แม่รอลูกกลับบ้านอยู่” ลอยตามน้ำไปยังฐานที่มั่นของกลุ่ม FARC และสื่ออื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน

ถ้าข้อมูลผมไม่ผิด ผมเข้าใจว่าแคมเปญนี้ทำกันนานถึงปีครึ่ง ออกแคมเปญทีละชุดๆ และผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับการทำงานที่เหนื่อยยากของทั้งกองทัพและเอเจนซี่ ในที่สุด FARC ยอมกลับมาสู่อ้อมกอดของแม่มากถึง 27,000 คน ถ้าเห็นผลลัพธ์แบบนี้ก็ไม่ต้องพูดกันแล้วครับว่ามันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค

Advertising Agency: Lowe SSP3

Tagged , , , , , , ,

The European Initiative for Media Pluralism: ALTphabet

altphabet

ตั้งแต่เขียนบล็อกมาเกือบ 5 เดือน ยังไม่เคยเจอแคมเปญไหนที่พูดถึงเรื่องเสรีภาพของสื่อเลย จนกระทั่งได้มาเจอแคมเปญนี้ครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปครับ( แถบประเทศที่เรา(อย่างน้อยก็ผมคนนึง)ที่เชื่อว่าเข้มแข็งในประชาธิปไตย แต่ในบางแง่มุมก็อ่อนในเรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน กฎหมายปกป้องสิทธิสื่อมวลชนก็ดูจะบอบบาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ แม้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับแพร่กระจายไปสู้สาธารณชน แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้รัฐเข้ามาจัดการสื่อมวลชนได้ง่ายขึ้น อันไหนไม่ชอบใจก็สั่งปิดสั่งบล็อก

ลองจินตนาการว่าถ้าวันนี้คุณได้กลายเป็นสื่อมวลชน อยู่ในประเทศที่ไม่ค่อยให้เสรีภาพกับสื่อมากนัก และคุณอยากจะต่อสู้กับมัน คุณจะทำยังไง? ลองปิดถนนประท้วงดูมั้ย? หรือล่ารายชื่อเพื่อไปยื่นเรื่องกับผู้มีอำนาจแล้วบอกกับพวกเค้าว่า เฮ้ย กูไม่ยอมนะ? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ขอให้เก็บไว้ในใจครับ

The European Initiative for Media Pluralism (เข้าใจว่าเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธืสื่อโดยเฉพาะ) เค้าก็เลยสร้างแคมเปญเชิงรุกขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำ Petition ครับ ด้วยการสร้างเว็บไซท์ขึ้นมา เว็บไซท์นี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสและแปลงรหัสของภาษาที่ใช้ปุ่ม Alt (พูดง่ายๆก็คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปมันอ่านไม่ออก)

altphabet2

เวลาที่สำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ต้องการจะลงข่าวที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองก็จะใช้รหัสภาษานี้ในการเขียนบทความ ซึ่งก็รวมไปถึงมนุษย์ปุถุชนคนตัวเล็กๆอย่างเรา เวลาจะพูดแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองทีไรเราก็ไม่รู้ว่าจะมีบิ๊กบราเธอร์คอยจับจ้องอยู่หรือเปล่า เพื่อความอุ่นใจ ก็แปลงภาษาให้มันตรวจจับได้ยากขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับแชร์ผ่านเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้ด้วย

ในเชิงผลลัพธ์ แคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆอย่างมาก ทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงโซเชี่ยลมีเดีย โดยที่เค้าเคลมว่าแคมเปญนี้เข้าถึงสายตาผู้ชมมากกว่า 8 ล้านคน ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ จากการที่แทบไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ได้ผลตอบรับขนาดนี้นับได้ว่าไม่ธรรมดาครับ

http://www.altphabet.org/

altphabet3 altphabet4

Advertising Agency: Saatchi & Saatchi, Milan, Italy

Tagged , , , , , , , , ,

Celem European Women’s Lobby: Abortiontravel

Abortiontravel1

คงจะเป็นปัญหาโลกแตกพอๆกับ “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?” สำหรับประเด็นปัญหาเรื่อง “การทำแท้งเสรี” ที่บ้านเราก็ถกเถียงกันมานับสิบๆปี บ้างก็อ้างเรื่องศีลธรรม บ้างก็อ้างเรื่องเศรษฐกิจและอัตราการเกิดอาชญากรรม ต่างฝ่ายก็ต่างมีเหตุผลที่หนักแน่น เรื่องนี้คงไปหาอ่านได้ตามบทความเก่าๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ผมจะเอาเคสที่เกี่ยวกับประเด็นการทำแท้งมาให้ดูกันครับ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่สเปน เมื่อช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว รัฐบาลสเปนได้ประกาศว่าจะปฏิรูปกฎหมายการทำแท้ง ให้มีลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งนัยหนึ่งมันหมายถึงการที่รัฐบาลไม่เคารพต่อสิทธิสตรี เพราะผู้หญิงสเปนเค้าเชื่อว่าเค้าตัดสินใจเองได้ ว่าจะเอาออกหรือไม่เอาออก นี่มันท้องของเค้าแท้ๆ อยู่ดีๆก็จะออกกฎมาดื้อๆโดยไม่ถามผู้หญิงเลย ในที่สุดก็เป็นเรื่องจนถึงขนาดมีสื่อมวลชนบอกว่ารัฐบาลใช้อำนาจในทางที่มิชอบ มีการเดินเปลือยกายประท้วง บุกเข้าไปถึงในรัฐสภา เรียกได้ว่าสภาบ้านเรานี่ดูจิ๊บๆไปเลย นี่แหละครับพลังของผู้หญิง ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก

และเพื่อให้การประท้วงเข้มข้นยิ่งขึ้น Celem European Women’s Lobby (ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มสมาคมอะไรสักอย่างที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิสตรี) มีแนวคิดที่ไปไกลกว่าแค่การออกมาประท้วงเย้วๆไปวันๆ กลุ่มสมาคมสตรีก็จึงได้ร่วมมือกับ DDB Madrid จัดทำแคมเปญขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากการปฏิรูปกฎหมายการทำแท้งของรัฐบาลนี้สำเร็จ เราจะได้เห็นอะไรบ้างในอนาคต

พี่แกก็เลยจัดตั้งเป็นบริษัททัวร์ ที่ไม่ใช่ทัวร์ธรรมดา แต่เป็นบริษัททัวร์ที่จำอำนวยความสะดวกเรื่องการทำแท้งให้กับผู้หญิง ด้วยการขายแพ็คเกจทัวร์ทำแท้ง ไปฝรั่งเศสบ้าง อังกฤษบ้าง ประเทศซึ่งเคารพการตัดสินใจของสตรีมากกว่าที่สเปน (ถ้าอยากเห็นภาพต้องเข้าไปดูที่ http://www.abortiontravel.org/en/) ตั้งทั้งแบบที่เป็นหน้าร้านและออนไลน์ เพื่อชี้ให้เห็นว่าถ้าปฏิรูปกฎหมายเมื่อไหร่ จะได้เห็นเอเจนซี่ขายทัวร์แบบนี้แน่นอน

แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งยิ้มครับ บริษัททัวร์นี้เค้าตั้งขึ้นมาหลอกๆครับ (แต่ทำโคตรจริงจังเลย) จุดประสงค์ของการตั้งเอเจนซี่ทัวร์นี้ขึ้นมาก็เพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปกฎหมายทำแท้งไปลงชื่อใน Petition เพื่อส่งชื่อคัดค้านการปฏิรูปไปยังรัฐบาลสเปน

ในแง่ของผลลัพธ์ ผมไม่แน่ใจว่ามีคนลงชื่อร่วมคัดค้านมากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุด ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา มีคนอย่างน้อย 38 ล้านคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้ และในที่สุด แคมเปญนี้ก็เข้าไปถึงในสภาในที่สุด (ยังไม่มีรายงานว่าการปฏิรูปกฎหมายได้ล้มลงไปหรือไม่ แต่ก็น่าจะพอคาดเดาแนวโน้มได้)

ก็จบไปอีกแคมเปญ ที่ถึงแม้จะทำจำลองขึ้นมา แต่ก็ทรงประสิทธิภาพทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ แค่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารอีกนิดหน่อย เราก็จะได้เห็นอะไรสนุกๆขึ้นอีกเยอะเลยครับ 😀

Advertising Agency: DDB, Madrid, Spain

 

 

Abortiontravel2 Abortiontravel3 Abortiontravel4

Tagged , , , , , , , , ,

FUNDACIÓN PANIAMOR: INCOMPLETE BIOS

incomplete bios1

ไม่รู้เป็นอะไร เวลาที่ได้อ่านแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง ผมจะรู้สึกสนุกทุกครั้ง ความรู้สึกมันคงคล้ายๆกันกับขี่ม้าออกไปรบกับคนขี่ช้าง ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งตัวใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกท้าทาย

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่คอสตาริกาครับ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประเทศเค้ามาการเลือกตั้งประธานาธิบดีกันครับ ซึ่งก็คงเดาได้ไม่ยากว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งหลายก็ต่างประโคมนโยบายกันอย่างเมามันเพื่อดึงดูดฐานเสียง ก็ทั่วๆไปครับ นโยบายเพลนๆอย่างเพิ่มงาน ลดความยากจน กระตุ้นเศรษฐกิจบลาๆๆ  ซึ่งก็ได้โปรโมทผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

แต่คราวนี้เรื่องที่ไม่ปกติมันเกิดขึ้นตรงที่ว่า Paniamor องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเด็กและวัยรุ่นเกิดอยากจะผลักดันกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กให้เข้าไปอยู่ในนโยบายของเหล่าผู้ลงสมัครทั้งหลาย

แต่น่าเสียดายครับ เด็กพวกนี้อายุไม่ถึงสำหรับการเลือกตั้ง มันก็เลยทำให้เหล่าผู้สมัครไม่สนใจประเด็นปัญหานี้ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงการโปรโมทแคมเปญการเลือกตั้ง กฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเค้าแน่นอน

เป็นคุณ คุณจะทำยังไงให้เหล่าผู้สมัครทั้งหลายหันมาสนใจประเด็นปัญหานี้ด้วย?

แคมเปญนี้ฉลาดมากครับ เค้าเลือกใช้เครื่องมือหนึ่งที่เหล่าผู้สมัครก็ใช้ในการโปรโมทนโยบายของพวกเขาครับ “Wikipedia” ครับ

(สำหรับเมืองไทยผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถึงช่วงใกล้เลือกตั้ง จะมีใครจะเข้าไปดูนโยบายผู้สมัครในวิกิพีเดียมั้ย แต่ให้เข้าใจว่าที่คอสตาริกามันคงจะเวิร์คครับ)

ลองนึกภาพตามถึงรูปภาพ ประวัติ และนโยบายที่เหล่าผู้สมัครนั้นใส่ลงไปในวิกิพีเดีย แต่แคมเปญนี้จะเพิ่มเข้าไปอีก Category หนึ่งในส่วนของนโยบาย นโยบายที่ว่าด้วย “การปกป้องคุ้มครองเด็ก” พร้อมตั้งคำถามว่าผู้สมัครคนนั้นจะทำอะไรกับเรื่องนี้มั้ย แล้วก็ปล่อยให้มันว่างเปล่าเหมือนกับรอคนมาเติมคำ เพื่อที่จะให้คนทั่วไปได้รู้ว่าผู้สมัครเหล่านี้ไม่ได้สนใจเรื่องเด็กเลยแม่แต่น้อย

จนกระทั่งแคมเปญได้กลายเป็นไวรัล เพียงในไม่กี่ชั่วโมง วิกิพีเดียก็ได้บล็อคไม่ให้เข้าไปแก้ไขประวัติของผู้สมัคร แต่ไม่ทันแล้วครับ แคมเปญนี้ได้เริ่มจุดประกายให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้เรียบร้อยครับ ได้ออกทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์

ไม่ถึงเดือนของการรันแคมเปญ ประวัติของผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทุกคนก็เพรียบพร้อมไปด้วยนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็ก ราวเสกวับขึ้นมาในพริบตา จนกระทั่งการเลือกตั้งสิ้นสุด Luis Guillermo ประธานาธิบดีคนล่าสุดของคอสตาริก้าก็ได้ผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็กเข้าไปอยู่ในแผนงานของรัฐบาลในที่สุด

ใครจะไปคิดละครับว่าแคมเปญที่แทบไม่ได้ใช้เงินซักบาทซักสตางค์ มันจะสร้างผลกระทบได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นับเป็นมิติใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับการทำแคมเปญเพื่อก้าวไปสู่นโยบายรัฐ ที่องค์กรทั้งหลายที่ทำงานด้านสังคมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

Advertising Agency: LEO BURNETT COSTA RICA San Jose, COSTA RICA

incomplete bios2 incomplete bios3

 

Tagged , , , , , , , , , ,

UNHCR: Invisible people

UNHCR Invisible people

จากสถิติของ UNHCR มีการรายงานว่าทั่วโลกมี Refugee (ผู้หนีภัยทางการเมือง) มากถึง 35 ล้านคน และในจำนวนนั้นเป็นชาวเกาหลีเหนือถึง 300,000 คน ใครที่เคยติดตามข่าวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นี้ก็คงได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าทั้งสองประเทศยังมีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกาหลีเหนือยิงขีปนาอาวุธขู่เกาหลีใต้ ถึงแม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพหลายครั้งแต่ก็ยังดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ตัดกลับมาที่ฉากผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือกำลังพยายามข้ามด่านมายังเกาหลีใต้ เพราะไม่อยากทนอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ ในขณะที่เกาหลีใต้ก็ไม่อยากรับเพราะกลัวจะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เรียกได้ว่าปัญหามันอุรังอุตังซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะแก้ได้ภายในชั่วข้ามคืน

แต่ก็นั่นแหละครับ 3 แสนกว่าคน ใครมันจะไปสกรีนได้หมด มันก็ต้องมีหลุดเข้ามาบ้าง

หลุดเข้ามาได้แล้วเนียนๆก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าทางการเกาหลีใต้จับได้เมื่อไหร่ก็งานงอกทันที ซึ่งผมเข้าใจว่าถ้าถูกจับได้ก็มักจะถูกคุมตัวไปสอบสวนว่าเป็นสายลับมั้ย ถ้าไม่เป็นก็ส่งตัวกลับเกาหลีเหนือ โดยในแต่ละปีจะมีการส่งตัวกลับประมาณร้อยกว่าคน แล้วลองคิดภาพดูสิครับว่าทหารเกาหลีเหนือกำลังยืนรออยู่ที่ด่าน ทหารเกาหลีใต้เอาผู้ลี้ภัยกลับมาส่งในที่ที่เค้าอุตส่าห์หนีมา หลังจากข้ามพรมแดน ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วละครับ

เมื่อสถานการณ์มันชัดเจนขนาดที่เรียกว่า “เหมือนส่งคนเข้าโรงฆ่า” UNHCR ในเกาหลีใต้ก็เห็นว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง จึงได้ร่วมมือกับ CHEIL ซึ่งก็เป็นเอเจนซี่สัญชาติเกาหลีใต้มาทำแคมเปญเพื่อช่วยให้คนเกาหลีใต้ได้ฉุกคิดถึงว่า “การส่งชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ” เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?

แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเชิญผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือที่ยังคงพำนักอยู่ในเกาหลีใต้มาร่วมแคมเปญ ด้วยการใช้อุปกรณ์สแกน 3D รูปร่างหน้าตาของผู้ลี้ภัย แล้วนำไปปรินท์ให้ออกมาเป็นหุ่นจำลองขนาดประมาณฝ่ามือ จากนั้นก็นำหุ่นเล็กๆที่เป็นตัวแทนชาวเกาหลีเหนือนั้นไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในพิพิธภัณฑ์ เป็นกิมมิคการแสดงศิลปะแปลกใหม่ที่กระตุ้นให้ผู้เข้าชมต้องไปเดินค้นหาเอาเอง โดยในหุ่นแต่ละตัวก็จะมีวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวความลำบาก ความรู้สึกกลัวและความรู้สึกอีกหลายอย่าง สิ่งที่พีคมากที่สุดคือหุ่นแต่ละตัวนั้นเป็นตัวแทนของคนจริงๆ ไม่ได้เต้าขึ้นมาจัดแสดงแบบเก๋ๆเท่านั้น

ในช่วงเวลาของการจัดแสดง 3 สัปดาห์ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้กว่า 48,000 คน และก็ได้โพสข้อความให้กำลังใจชาวเกาหลีเหนือผ่านหน้า FB ของ UNHCR Korea ซึ่งก็จะได้รับการส่งต่อจริงๆ มีคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้มากกว่า 3.5 ล้านคน จากปัญหาที่แทบจะไม่มีคนเห็น มาตอนนี้ คนเกาหลีใต้ก็ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหานี้มีอยู่จริง

Turning the invisible into the visible~

Advertising Agency: CHEIL WORLDWIDE Seoul, SOUTH KOREA

invisible people1 invisible people2 invisible people3 invisible people4 invisible people5

Tagged , , , , , , , , , , , , ,

ปลูกดอกไม้ในปลอกแก๊สน้ำตา โหยหาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์

flower on tear gas granade1

ใครที่เคยศึกษาหรือตามข่าวเกี่ยวกับการเมืองระหว่างประเทศคงจะผ่านตามาบ้างสำหรับเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ซึ่งทำสงครามแย่งดินแดนกันมานับ 70 – 80 ปี มีสงครามใหญ่และสงครามย่อยนับไม่ถ้วน ฝ่ายหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากตะวันตก อีกฝ่ายได้รับแรงสนับสนุนจากชนชาติอาหรับ และถึงแม้ว่าอิสราเอลจะตั้งรัฐอิสระได้สำเร็จตั้งแต่ปี 1948 แต่ปัญหาความขัดแย้งด้านดินแดนก็ยังคงคาราคาซังอยู่จนถึงทุกวันนี้ และยังไม่มีท่าทีว่าจะแก้ไขกันได้แบบสมบูรณ์เสร็จสรรพ

หญิงชาวปาเลสไตน์ท่านหนึ่งในหมู่บ้านทีี่ชื่อ Bilin ใกล้กับเมืองหลวงของปาเลสไตน์ (แม้จะไม่ได้เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการแต่ชาวบ้านก็เข้าใจว่าเป็นเหมือนเมืองหลวง) ที่ชื่อ Ramallah หญิงท่านนี้ได้เก็บรวมรวมปลอกระเบิดแก๊สน้ำตาจากบริเวณปะทะระหว่างทหารอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์เพื่อนำมาปลูกดอกไม้!!

การปลูกดอกไม้ของหญิงท่านนี้ไม่ใช่การปลูกเพื่อเลี้ยงชีพ แต่เธอทำเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งในความเข้าใจของผมเข้าใจว่าคงอยากเห็นสันติภาพในเร็ววัน เหมือนกับดอกไม้ที่สามารถเติบโตได้ในปลอกแก๊สน้ำตาเช่นใด สันติภาพก็สามารถเกิดขึ้นได้ท่ามกลางสงครามเช่นนั้น

ในตอนแรกที่เห็นข่าวนี้ก็รู้สึกแปลกใจมากที่ได้เห็นว่าพื้นที่ที่มีความตึงเครียดสูง ความรู้สึกไม่ปลอดภัย มันจะสามารถปลุกพลังความคิดสร้างสรรค์ในมนุษย์ได้จริงๆหรือ? เพราะปกติเรามักจะเห็นความคิดสร้างสรรค์โลดแล่นอยู่ภายใต้อารมณ์ที่สนุกสนาน อารมณ์เชิงบวก อารมณ์ที่ทำให้เรารู้สึกนิ่งอยู่กับปัจจุบัน แต่การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ในครั้งนี้ทำให้เราต้องมองมุมใหม่ ซึ่งในอีกฟากฝั่งหนึ่งของปาเลสไตน์ มีศิลปินชาวอิสราเอลท่านหนึ่งได้หลอมเหล็กซึ่งได้จากซากจรวดที่ทางฝั่งปาเลสไตน์หัวรุนแรงได้ยิงเข้ามา

ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นได้ทุกที่จริงๆครับ

flower on tear gas granade2 flower on tear gas granade3 flower on tear gas granade4 flower on tear gas granade5 flower on tear gas granade6 flower on tear gas granade7 flower on tear gas granade8 flower on tear gas granade9 flower on tear gas granade10

source: http://www.boredpanda.com/tear-gas-flower-pots-palestine/

Tagged , , , , , ,

Kien Y Ke Digital Magazine: Corrupt Banner

Corrupt Banner

เรื่องมันมีอยู่ว่า ในช่วงของการเลือกตั้งในประเทศโคลอมเบีย มีสถิติที่บ่งชี้ให้เห็นถึงการคอร์รัปชั่นในภาครัฐและความไม่สนใจไปเลือกตั้งของประชาชนทั่วไป เนื่องจากมองว่าเลือกตั้งไปก็ไม่ได้ช่วยให้การโกงน้อยลง ซึ่งถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วงสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศ Kien Y Ke เว็บไซท์ข่าวออนไลน์ที่เจาะเฉพาะด้านการเมืองจึงมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความเชื่อมั่นและสร้าง Awareness ให้กับชาวโคลัมเบีย ด้วยการทำสื่อ Interactive เชื่อมเข้ากับเว็บไซท์เพื่อชี้ให้เห็นว่าการที่ประชาชนไม่สนใจการเมือง ไม่สนใจเลือกตั้งมันจะนำไปสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้

สื่อ Interactive ชิ้นนี้จะใช้เทคโนโลยีการตรวจจับม่านตา (Iris recognition) ผ่าน Web cam สมมติว่าเรากำลังดูการถ่ายทอดประชุมสภาอยู่ เมื่อใดก็ตามที่เราหลับตา ก็จะมีนักการเมืองนั่งคุยมุบมิบกันว่าจะโกงบ้านโกงเมืองยังไงให้เนียน เมื่อเราลืมตาขึ้น ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่แคมเปญนี้พยายามส่ง message ก็คือ การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกับการเมืองมันจะยิ่งทำให้การคอร์รัปชั่นหนักขึ้น เพราะฉะนั้นจงไปเลือกตั้งกันเถิดชาวโคลอมเบีย

Due to the increase of abstention and corruption on elections day, we were asked to create an ad in which we encourage people to vote and regain their believe in this election process. That’s why we created an interactive banner that had an eye detection system, which could identify when people had their eyes closed or open. This way we where able to recreate the behavior of corrupt politicians and create awareness in people towards corruption and the importance of voting with full knowledge of the candidate.

Advertising Agency:Y&R, Bogota, Colombia

Tagged , , , , , , , ,

States United To Prevent Gun Violence: Unload Your 401k

Unload Your 401k

บอกตรงๆเลยว่าแคมเปญนี้ค่อนข้างแรง อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่านทุกท่านนะครับ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนช่วยบอกด้วยนะครับ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านท่านอื่นๆ

เรื่องมันมีอยู่ว่า “การค้าอาวุธเสรี” เป็นประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันมานานในสหรัฐอเมริกา ฝ่ายที่ต่อต้านก็มักจะมองว่าการค้าอาวุธเสรีเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของพวกเขา เนื่องจากคนทั่วๆไปสามารถซื้ออาวุธได้โดยแทบไม่มีการเช็คประวัติผู้ซื้อ ทำให้เกิดการฆ่าหมู่ในหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา

ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นเรื่องของการมีอาวุธไว้ป้องกันตัวเอง ประกอบกับมีสมาคมผู้ค้าอาวุธไรเฟิลหนุนหลังอยู่ เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากขนาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐได้ เห็นกันชัดๆก็คือสามารถดึงเงินออมจากกลุ่มคนทำงานไปลงทุนในบริษัทค้าอาวุธได้แบบเนียนๆ ภายใต้ชื่อ “แผนการลงทุนหลังเกษียณ 401k”

คราวนี้เรื่องมันก็เริ่มแดงตรงที่มีคนนับ 51 ล้านคนที่อยู่ในระบบแผนการลงทุน 401k แทบไม่รู้ว่าเงินของพวกเขาถูกลงทุนในบริษัทค้าอาวุธ ซึ่งในจำนวนนั้น มีญาติของผู้เสียชีวิตจากฆ่าหมู่ในเหตุการณ์ โรงหนัง Aurora , Sandy Hook และเหตุการณ์โด่งดังอื่นๆ แคมเปญนี้จึงจัดขึ้นเพื่อบอกเล่าข่าวสาร คงน่าปวดใจมากเมื่อได้รู้ว่าเงินของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องทำให้บุคคลอันเป็นที่รักของเขาต้องตาย ในขณะที่บริษัทขายอาวุธยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้แคมเปญนี้ยังได้สร้างเว็บไซท์เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมแคมเปญได้ตรวจสอบว่าเงินของพวกเขาอยู่ใน 401k อยู่มากเท่าไหร่ พร้อมกับ option ที่เสนอให้ถอนการลงทุนของพวกเขา

โดยส่วนขอไม่ตัดสินเหตุการณ์นี้ เพราะเชื่อว่าคงยังมีเรื่องราวมากกว่าที่เรารู้ อีกทั้งตรรกะและแคมเปญมีลักษณะชี้นำค่อนข้างรุนแรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการสื่อสาร ซึ่งมุ่งเน้นกับขับเน้นทางอารมณ์มาก นับเป็นดาบสองคม  ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะนำมันไปใช้แบบไหน

ขอเตือนอีกครั้งนะครับ โปรดใช้จักรยานในการรับชม

This film holds a dark truth that 51 million Americans should know.

In the 15 years since Columbine, our nation has seen over 1.4 million people injured or killed by guns, and gun companies have made more money year after year. We brought victims of gun violence together to discuss the problem and to ask: How much of the gun industry’s growth is actually coming from us all? Go to http://unloadyour401k.com/ to find out.

Advertising Agency: Grey New York

Tagged , , , , , , , ,

TANGO Network: The longest handshake

The Longest Handshake

เรื่องมันมีอยู่ว่า ตุรกีและอาร์เมเนีย ประเทศคู่กรรมแต่ชาติปางก่อนที่มีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิออตโตมัน ในอดีต จักรวรรดิออตโตมันได้ฆ้าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียถึง 1.5 ล้านคน ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ชาวอาร์เมเนียโกรธแค้นชาวตุรกีและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้อยู่ในขั้นที่ตึงเครียดสุดๆ มีการก่อการร้าย ลอบสังหารผู้นำ ปิดพรมแดนและที่สำคัญคือฝังลึกลงในวัฒนธรรมของผู้คนทั้งสองประเทศ เรียกว่าอะไรที่แย่ๆก็จัดมาหมดแล้ว

Tango Network NGO ซึ่งมีสาขาอยู่ในทั้งสองประเทศเห็นควรที่จะเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างเพื่อสร้างสันติภาพระหว่างสองภาคี จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “The longest handshake” แคมเปญที่เชิญอาสาสมัครตัวแทนของทั้งสองประเทศมาสร้างประวัติศาสตร์จับมือกันนานที่สุดในโลก แคมเปญนี้จัดขึ้นที่จอร์เจียซึ่งเป็นเขตกันชนระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งไม่น่าเชื่อพี่แกทั้งสองคนยืนจับมือกันได้ถึง 43 ชั่วโมง!!

ผลของแคมเปญนี้ไม่ได้มีแต่ชาวอาร์เมเนียและชาวเติร์กที่เห็นเท่านั้น แต่ยังเผยแพร่ไปถึง 11 ประเทศ เข้าถึงสายตาผู้ชมนับ 40 ล้านคู่ และในวิดีโอเขาเคลมว่าสามารถทำให้ผู้นำของทั้งสองประเทศกลับมาจับมือกันอีกครั้ง นับตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว

Background: The story of relations between the Turks and the Armenians is a never-ending tragedy. There was everything… Everything but friendship.

Objective: bring together the peoples of Turkey and Armenia, who have feuding for over a hundred years. TANGO Network, which unites non-government organizations in both countries, believe that time to break the vicious circle has come.

Idea. To create the longest manifestation of friendship ever between those who almost never enjoyed friendship.

Solution. On December 6, 2013 two people from Armenia and Turkey gave each other a hand. On December 8, after 43 hours, they set a world record in the duration of a continuous handshake. Despite wind and cold. Showing that it is possible to close the border between countries, but not between people.

Results. It caused a sensation. And not only in Turkey and Armenia. More than 250 media in 11 countries. More than 40 mln people reached. But what is more important, it has found massive support.

Advertising AgencyTWIGA, Moscow, Russia

Tagged , , , , , , , ,

The Other Half: We are The Other Half

The Other Half

On February 9th 2014, 50.3% of the Swiss voters expressed their desire to regulate the 
so called «mass immigration» by voting for a law limiting free movement of persons and workers between Switzerland and the EU» For 49,7% of the voters, this extreme, narrow-minded and shameful decision darkens and blurs the idea of an international, open-minded and Human Rights promoting Switzerland.

In response to this, we created a digital showcase of contemporary Switzerland 
to show the world that our country is proud, mixed, open-minded and cohesive.

Creative Director / Art Director: Julien de Preux
Motion Designer / Editor: Karim Merzoug

Tagged , , , , , , , , ,