Category Archives: Crime

Colombian Ministry of Defense: Creativity vs. Terrorism

You are my son

ทุกครั้งที่ได้ดูแคมเปญที่ทำเกี่ยวกับด้านการเมือง การเจรจา และความมั่นคง มักทำให้ผมตื่นเต้น และเมื่อใดก็ตามที่หน่วยงานรัฐบาลจับมือกับเอเจนซี่ เรามักจะได้เห็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจแทบทุกครั้ง

สำหรับแคมเปญนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศโคลอมเบีย ซึ่งที่นี่ทางรัฐบาลโคลอมเบียมีปัญหาทางด้านการเมือง ต้องสู้รบปรบมือกับกลุ่มกบฎติดอาวุธที่ชื่อว่า FARC มาตั้งแต่ปี 1964 (http://www.globalsecurity.org/military/world/para/farc.htm) กลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้นับว่าเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัฐบาลโคลอมเบีย เพราะมักจะเกี่ยวพันกับการลักพาตัวผู้นำทางการเมืองเพื่อเรียกค่าไถ่ การทำเหมืองแบบผิดกฎหมาย และที่สำคัญที่สุดคือเป็นแหล่งผลิตและกระจายยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ว่าได้

ถ้าถามว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้ใหญ่มากแค่ไหน อ้างอิงจากคำพูดของประธานาธิบดีโคลอมเบีย  Juan Manuel Santos เค้าบอกว่ากลุ่มนี้มีคนมากถึง 26,000 คน โดยที่มีไม่น้อยเลยที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับ FARC ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก (ถ้าไม่เข้าก็ถูกยิง)

แคมเปญนี้จึงอาศัยจังหวะเทศกาล Christmas มาเป็นตัวเชื่อมต่อให้ไอเดียมีความอ่อนไหวทางอารมณ์มากยิ่งขึ้น ลองนึกภาพดูก็ได้ครับ เทศกาลนี้ก็ควรจะเป็นภาพที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา กินข้าวสังสรรค์กันอย่างมีความสุข แต่ด้วยโชคชะตา นับสิบปีมาแล้วที่ครอบครัวไม่เคยเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์จริงๆ แคมเปญนี้จึงเสริมประเด็นเรื่อง “แม่” ให้เป็นจุดเชื่อมต่อทางอารมณ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ทางกอลทัพโคลอมเบียจึงได้ขอรูปภาพในวัยเยาว์จากคุณแม่มาทำโปสเตอร์ติดประกาศหาคนหายไปทั่วเมือง ติดตั้งไฟคริสต์มาสในป่า ทำลูกบอลพลาสติกที่ใส่ข้อความว่า “แม่รอลูกกลับบ้านอยู่” ลอยตามน้ำไปยังฐานที่มั่นของกลุ่ม FARC และสื่ออื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน

ถ้าข้อมูลผมไม่ผิด ผมเข้าใจว่าแคมเปญนี้ทำกันนานถึงปีครึ่ง ออกแคมเปญทีละชุดๆ และผลลัพธ์ก็คุ้มค่ากับการทำงานที่เหนื่อยยากของทั้งกองทัพและเอเจนซี่ ในที่สุด FARC ยอมกลับมาสู่อ้อมกอดของแม่มากถึง 27,000 คน ถ้าเห็นผลลัพธ์แบบนี้ก็ไม่ต้องพูดกันแล้วครับว่ามันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค

Advertising Agency: Lowe SSP3

Tagged , , , , , , ,

CRIMESTOPPERS: PUTPOCKETS

Putpockets1

เราคงไม่มีทางรู้ว่าเราจะถูกฉกจนเราถูกฉกไปแล้ว

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับงูแต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับคนที่มีอาชีพคล้ายๆงู นั่นก็คือ “นักล้วง/ฉกกระเป๋า” หรือ “pickpockets”

ด้วยความที่ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่นิยมพกพา smartphone หรือ tablet ใส่กระเป๋าติดตัวไปตามที่ต่างๆด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆก็คือ ปัญหาการล้วงกระเป๋า ซึ่งนอกจากในบ้านเราที่จะชอบเจอปัญหา หรือนักล้วงกระเป๋า ล้วงมือถือ ล้วงไอแพด หรือล้วงอะไรก็แล้วแต่ตามท้องถนน หรือตามที่เบียดเสียดในตลาดนัด ฯลฯ ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอังกฤษก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน ทุกๆวันชาวอังกฤษกว่า 1,700 คนถูกนักล้วงเหล่านี้ฉกฉวยสิ่งของมีค่าของตนไปโดยไม่รู้ตัวด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การแอบไปรูดซิบเป้สะพายหลังแล้วค่อยๆหยิบ ออกมาเบาๆ หรือการเบียดเข้ากับผู้คนในรถไฟฟ้าแล้วไปล้วงออกมา หรือตีเนียนนั่นเอง

วิธีแก้ปัญหาของผู้ดีอังกฤษในตอนแรกก็พื้นๆเหมือนบ้านเราคือ แปะโปสเตอร์ตามเสาเตือนผู้คนให้ระวังตามแหล่งที่นักล้วงชุกชุม แต่คุณรู้ไหมว่าการใช้โปสเตอร์เหล่านั้นยิ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้นักล้วงทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะทุกครั้งที่ผู้คนที่ผ่านไปมาเหลือบตาไปเห็นโปสเตอร์ พวกเขาก็จะรีบควานหาของเพื่อเช็คว่าของๆพวกเขายังอยู่นะ เช่น เขาอาจจะล้วงกระเป๋าหลัง ล้วงกระเป๋าสะพายเพื่อเช็คว่ากระเป๋าสตางค์ของเขายังอยู่ดีไหม นั่นแหละ ตอนคุณล้วงนั่นแหละจะเป็นเหมือนการส่งสัญญาณให้นักล้วงที่อยู่ใกล้ๆคุณเห็นว่าคุณเก็บสิ่งของอันมีค่าของคุณไว้ที่ไหน แล้วเขาก็จะรีบเข้ามาตีเนียนฉกไปจากคุณทันที สรุปว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลอะไร

กลุ่มหยุดยั้งอาชญากรรม หรือ Crimestoppersซึ่งเป็นกลุ่มป้องกันอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษจึงคิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆเพื่อให้ผู้คนและตำรวจท้องที่ตระหนักถึงปัญหานี้มากขึ้น โดยพวกเขาได้คิดค้นแคมเปญที่ชื่อว่า Putpocketsโดยการดีไซน์ใบปลิวที่มีลักษณะเหมือนกับสมาร์ทโฟน ไอแพด และกระเป๋าสตางค์แล้วให้อดีตนักล้วงกระเป๋า หรือนักมายากลแอบเอาใบปลิวเหล่านั้นไปหย่อนลงในกระเป๋าของผู้คนตามท้องถนน แทนการยืนแจกแบบตามปกติ ซึ่งแคมเปญนี้อาศัยแนวคิดที่ว่า “ถ้ามีคนสามารถหย่อนไอโฟนลงในกระเป๋าคุณได้ เขาก็สามารถเอามันออกมาได้เช่นกัน”การแจกใบปลิวที่ไม่ธรรมดานี้ถูกบันทึกและเผยแพร่สู่สาธารณชน และนั่นทำให้ผู้คนที่ถูกหย่อนใบปลิวในกระเป๋าโดยไม่รู้ตัวให้ความสนใจเข้าไปเยี่ยมชมเว็ปไซต์ของกลุ่ม Crimestoppers เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 93โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาใดๆเลย เพียงแค่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากวิดีโอนี้ถูกเผยแพร่ สื่อมวลชนในอังกฤษอย่าง Sky News ก็หันมาให้ความสนใจ หรือแม้กระทั่งต่างชาติก็สนับสนุนและให้ความสนใจในแคมเปญนี้ ที่สำคัญตำรวจจากหลายๆพื้นที่ก็สนใจที่จะนำแคมเปญนี้มาใช้ในพื้นที่ของตน

การแจกใบปลิวด้วยวิธีแปลกใหม่นี้อาจเป็นตัวกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้คนรู้สึก”ตื่นตัว” หรือมี”สติ”ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของนักฉกเหล่านี้อีกต่อไป

Thai written: Khiimiim Nilmanat

Advertising Agency: OGILVYONE LONDON, UNITED KINGDOM

Putpockets2

Tagged , , , , , , , , , , , ,

UNHCR: Invisible people

UNHCR Invisible people

จากสถิติของ UNHCR มีการรายงานว่าทั่วโลกมี Refugee (ผู้หนีภัยทางการเมือง) มากถึง 35 ล้านคน และในจำนวนนั้นเป็นชาวเกาหลีเหนือถึง 300,000 คน ใครที่เคยติดตามข่าวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นี้ก็คงได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าทั้งสองประเทศยังมีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกาหลีเหนือยิงขีปนาอาวุธขู่เกาหลีใต้ ถึงแม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพหลายครั้งแต่ก็ยังดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ตัดกลับมาที่ฉากผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือกำลังพยายามข้ามด่านมายังเกาหลีใต้ เพราะไม่อยากทนอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ ในขณะที่เกาหลีใต้ก็ไม่อยากรับเพราะกลัวจะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เรียกได้ว่าปัญหามันอุรังอุตังซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะแก้ได้ภายในชั่วข้ามคืน

แต่ก็นั่นแหละครับ 3 แสนกว่าคน ใครมันจะไปสกรีนได้หมด มันก็ต้องมีหลุดเข้ามาบ้าง

หลุดเข้ามาได้แล้วเนียนๆก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าทางการเกาหลีใต้จับได้เมื่อไหร่ก็งานงอกทันที ซึ่งผมเข้าใจว่าถ้าถูกจับได้ก็มักจะถูกคุมตัวไปสอบสวนว่าเป็นสายลับมั้ย ถ้าไม่เป็นก็ส่งตัวกลับเกาหลีเหนือ โดยในแต่ละปีจะมีการส่งตัวกลับประมาณร้อยกว่าคน แล้วลองคิดภาพดูสิครับว่าทหารเกาหลีเหนือกำลังยืนรออยู่ที่ด่าน ทหารเกาหลีใต้เอาผู้ลี้ภัยกลับมาส่งในที่ที่เค้าอุตส่าห์หนีมา หลังจากข้ามพรมแดน ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วละครับ

เมื่อสถานการณ์มันชัดเจนขนาดที่เรียกว่า “เหมือนส่งคนเข้าโรงฆ่า” UNHCR ในเกาหลีใต้ก็เห็นว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง จึงได้ร่วมมือกับ CHEIL ซึ่งก็เป็นเอเจนซี่สัญชาติเกาหลีใต้มาทำแคมเปญเพื่อช่วยให้คนเกาหลีใต้ได้ฉุกคิดถึงว่า “การส่งชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ” เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?

แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเชิญผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือที่ยังคงพำนักอยู่ในเกาหลีใต้มาร่วมแคมเปญ ด้วยการใช้อุปกรณ์สแกน 3D รูปร่างหน้าตาของผู้ลี้ภัย แล้วนำไปปรินท์ให้ออกมาเป็นหุ่นจำลองขนาดประมาณฝ่ามือ จากนั้นก็นำหุ่นเล็กๆที่เป็นตัวแทนชาวเกาหลีเหนือนั้นไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในพิพิธภัณฑ์ เป็นกิมมิคการแสดงศิลปะแปลกใหม่ที่กระตุ้นให้ผู้เข้าชมต้องไปเดินค้นหาเอาเอง โดยในหุ่นแต่ละตัวก็จะมีวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวความลำบาก ความรู้สึกกลัวและความรู้สึกอีกหลายอย่าง สิ่งที่พีคมากที่สุดคือหุ่นแต่ละตัวนั้นเป็นตัวแทนของคนจริงๆ ไม่ได้เต้าขึ้นมาจัดแสดงแบบเก๋ๆเท่านั้น

ในช่วงเวลาของการจัดแสดง 3 สัปดาห์ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้กว่า 48,000 คน และก็ได้โพสข้อความให้กำลังใจชาวเกาหลีเหนือผ่านหน้า FB ของ UNHCR Korea ซึ่งก็จะได้รับการส่งต่อจริงๆ มีคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้มากกว่า 3.5 ล้านคน จากปัญหาที่แทบจะไม่มีคนเห็น มาตอนนี้ คนเกาหลีใต้ก็ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหานี้มีอยู่จริง

Turning the invisible into the visible~

Advertising Agency: CHEIL WORLDWIDE Seoul, SOUTH KOREA

invisible people1 invisible people2 invisible people3 invisible people4 invisible people5

Tagged , , , , , , , , , , , , ,

Amnesty International: He has his mother’s eyes

AI Report Abuse1 AI report abuse2 AI report abuse3

Advertising School: Brother Ad School, Buenos Aires, Argentina

Tagged , , , , , , ,

CIF: Cleans Romania

Cleans Romania2Cleans Romania

พอได้ดูแคมเปญนี้แล้วก็อดที่จะนึกถึงทฤษฎีหน้าต่างแตกไม่ได้ ทฤษฎีนี้ได้พูดถึงว่าการที่สังคมหนึ่งปล่อยปะละเลยกับปัญหาเล็กน้อยจะนำไปสู่ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นนิวยอร์คในช่วงปี 1982 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดอาชญากรรมถี่มาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า 3 ปีให้หลังสถิติการเกิดอาชญากรรมกลับลดลงอย่างฮวบฮาบ เพียงแค่ตำรวจเพิ่มความเข้มงวดกับการลบลายกราฟฟิตี้ในรถไฟใต้ดินและตามจับคนที่ไม่ยอมจ่ายค่าโดยสารรถไฟมากขึ้น ซึ่งทางทฤษฎีมองว่าการทำผิดเล็กๆน้อยๆจะยิ่งทำให้คนที่ทำผิดได้ใจและทำผิดหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วแนวคิดนี้มันก็เวิร์คจริงๆ

สำหรับแคมเปญนี้ผมว่าคล้ายๆกัน คือเหตุมันเกิดขึ้นที่โรมาเนียครับ สภาพบ้านเมืองของโรมาเนียประกอบไปด้วยหลายชนชาติ ซึ่งแน่นอนว่าความหลากหลายนี้ได้นำมาสู่ความขัดแย้งเล็กน้อยจนลามไปสู่กระแสความเกลียดชัง (ผมไม่รู้นะว่ามันรุนแรงมากแค่ไหน) ตามแต่ละมุมถนนก็จะมีการพ่นข้อความแห่งความเกลียดชัง สาปแช่งคนที่อยู่ต่างเชื้อชาติ

ว่าด้วยเรื่องสังคมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องแก้ไข แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คืออนาคตของชาติ เราลองคิดดูว่าถ้าเด็กน้อยมาเห็นข้อความพวกนี้บ่อยๆเข้า โตขึ้นพวกเขาจะเป็นอย่างไร มีคนเปรียบเทียบว่าเด็กเป็นเหมือนกับผ้าขาวหรือฟองน้ำ ที่พร้อมจะรับเอาสิ่งต่างๆรอบตัวทั้งหมดโดยไม่ผ่านกระบวนการคิด และสำหรับโรมาเนียเราก็คงเห็นชัดเลยครับว่าเด็กน้อยมาเห็นข้อความพวกนี้ทุกวัน ทัศนคติที่เขามองคนอื่นจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน

นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ Cleans Romania ซึ่งสนับสนุนโดย CIF แบรนด์ขายน้ำยาทำความสะอาดในเครือ Unilever ได้สร้างแอพพลิเคชั่นหนึ่งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ชี้เป้าว่าที่ไหนมีข้อความแย่ๆแบบนั้นบ้าง เพียงแค่โหลดแอพ ถ่ายรูป ระบุพิกัด เพียงเท่านี้ก็จะมีทีมงานไปเคลียร์ให้

สำหรับผม ผมคิดว่ามันเป็นงานที่ใหญ่มากเลยนะที่ทีมงานจะต้องไล่จัดการทีละข้อความ ซึ่งก็ถือว่าขายของไปได้ในตัวเพราะน้ำยาทำความสะอาดของเขานี่เล่นลบซะเหี้ยนเลย แหม่

With the help of the community, and a digital mobile tool, CIF will clean offensive graffiti containing profanity and hate messages out of the city walls

On the campaign website (http://www.cif.ro) , CIF offers a mobile “reporting”app, which users can download and use to record an offensive message they encounter in their neighborhood. The location and picture are noted and a CIF cleaning crew is launched to clean the reported site.
The Campaign website also holds a full gallery and map of sites cleaned, including a before/after photos and some of the cleaning process videos.

Advertising Agency: MRM Bucharest

Tagged , , , , , , ,

The National Football Association Safety Committee: Eternal Seat

Eternal Seat

The National Football Association Safety Committee wanted to raise awareness about the irreversible consecuences of violent behaviour. Along with the clubs, we disabled a seat to show how much it means for football to lose a fan.

เมื่อได้ดูวิดีโอแคมเปญนี้ก็รู้สึกได้เลยว่าทำไมมันคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ทุกๆคั้งที่มีการแข่งฟุดบอลนัดใหญ่ๆในละตินอเมริกา จะมีอีเวนท์พิเศษแถมมาในแพคเกจด้วยแทบทุกครั้ง อีเวนท์ที่ว่านั่นคือการใช้ความรุนแรงระหว่างแฟนบอลด้วยกัน ซึ่งในสถิติดูครั้งแรกแล้วก็น่าตกใจมาก เพราะความรุนแรงแบบนี้ได้คร่าชีวิตแฟนบอลไปแล้วมากกว่า 650 ชีวิต มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ครับ

ร้อนถึงสมาคมฟุตบอลแห่งชาติเอกวาดอร์ ซึ่งมีหน่วยงานย่อยลงไปอีกคือคณะกรรมการด้านความปลอดภัย เห็นว่าควรจะต้องทำอะไรซักอย่างกับปัญหานี้ นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญที่ชื่อว่า “Eternal Seat” โดยหยิบเอาเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างความรุนแรง พร้อมกับเชิญพี่สาวและคุณพ่อของเด็กชายคนนั้นมาร่วมแคมเปญด้วย แคมเปญนี้อย่างที่เข้าใจกันว่าต้องการจะสร้าง Awareness ให้คนเห็นถึงปัญหาการใช้ความรุนแรงในสนามฟุตบอล แคมเปญนี้จึงได้ทำเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นอนุสรณ์สำหรับเด็กชายคนนั้น และติดตั้งมันไว้ในสนามฟุตบอลจริงๆ (ซึ่งเราเข้าใจว่าน่าจะเป็นตำแหน่งที่น้องเค้าเสียชีวตจริงๆ) พร้อมกับจัดช่วงไว้อาลัยก่อนการแข่งขัน

ผลของแคมเปญนี้ได้รับการตอบรับเชิงบวกอย่างมากพร้อมกับกวาดพื้นที่สื่อไปมหาศาล และที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นคือ นับตั้งแต่แคมเปญนี้ได้ออกสู่สาธารณชน ความรุนแรงในสนามฟุตบอลก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย (เค้าเคลมว่างั้น)

Advertising Agency: Maruri Grey, Ecuador

Tagged , , , , , , , ,

Sea Shepherd: Bleeding Ocean

Sea Shepherd Bleeding Ocean

เราคงเคยเห็นภาพในข่าวหรือสารคดีเกี่ยวกับการล่าหูฉลามเพื่อการค้า ภาพที่เห็นก็คงไม่พ้นในทำนองที่ว่า จับฉลามขึ้นมา ฟาดๆๆๆ จากนั้นก็ตัดครีบของมัน แล้วก็โยนมันกลับลงทะเล ซึ่งพวกเราทุกคนก็คงรู้ว่ามันคงอยู่รอดได้อีกไม่นาน ซึ่งมีการรายงานว่าบราซิลเป็นประเทศที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่ส่งออกหูฉลามมากที่สุดในโลก (200 ตันต่อปี!!!)

ร้อนถึง Sea Shepherd องค์กรอิสระที่ทำงานด้านการรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเลซึ่งมองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างกับปัญหานี้ จึงเป็นที่มาของแคมเปญ Bleeding Ocean ด้วยการไปขอให้ผู้ให้บริการแผนที่บนเว็บไซท์และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปลี่ยนสีน้ำทะเลจากสีฟ้าเป็นสีแดงเถือก เพื่อชี้ให้คนในบราซิลเห็นว่ามันมีเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้เกิดขึ้นอยู่

โดยส่วนตัวถ้ามองในเชิงการสื่อสารเรามองว่าเป็นไอเดียเริ่มต้นที่น่าสนใจ เข้าถึงคนได้หลากหลาย แต่น่าเสียดาย มันอาจจะไม่ impact พอที่จะทำให้คนลุกขึ้นมาสู้ (เรามองว่ามันไม่เวิร์คสำหรับเรา) โดยส่วนตัวมองว่าควรมีแคมเปญเชิงกายภาพที่จัดควบคู่ขึ้นไปด้วย น่าจะให้ผลได้ดียิ่งขึ้น แต่ถึงยังไงก็ตาม ปัญหานี้ก็คงเป็นที่รับรู้ของคนทั้งประเทศ เมื่อคนเริ่มรับรู้ ก็สามารถนำไปต่อยอดกิจกรรมอื่นๆได้อีกแน่นอน ฟันโอ!

 

 

Tagged , , , , , ,

ManKind Initiative: ViolenceIsViolence

ViolenceIsViolence

40% of domestic violence is against men in the UK. #ViolenceIsViolence, no matter who it’s aimed at. Our helpline costs just £35,000 per year to run, by donating a few £ you will help us to support men suffering in this way get the support they need. Please donate here: https://mydonate.bt.com/charities/man… – plus follow us @mankindinit

ถ้าพูดถึงเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ผมเชื่อว่าเกือบร้อยทั้งร้อยคงจะเห็นภาพว่าผู้หญิงมักจะเป็นผู้ถูกกระทำอยู่เสมอ แต่ไม่น่าเชื่อว่าว่าแคมเปญนี้จะตีแสกหน้าผู้ชมผ่านการทดลองเชิงสังคม และแสดงให้เห็นว่าบางทีผู้ชายก็ตกเป็นเหยื่อได้เหมือนกัน ซึ่งอ้างจากสถิติในสหราชอาณาจักรก็พบว่า  ผู้ชายกลับกลายเป็นผู้ถูกกระทำนับเป็น 40% ของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นสถิติที่น่าอึ้งใช่ไหมครับ?

ปล. ขอชมนักแสดงทั้งสองท่านที่เล่นได้แนบเนียนมาก ไม่รู้ส่วนตัวอะไรกันรึเปล่าถึงเล่นได้ดีขนาดนี้ แหม่

Advertising Agency: Dare, London, UK

Tagged , , , , ,

States United To Prevent Gun Violence: Unload Your 401k

Unload Your 401k

บอกตรงๆเลยว่าแคมเปญนี้ค่อนข้างแรง อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่านทุกท่านนะครับ ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติมก็รบกวนช่วยบอกด้วยนะครับ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านท่านอื่นๆ

เรื่องมันมีอยู่ว่า “การค้าอาวุธเสรี” เป็นประเด็นปัญหาที่ถกเถียงกันมานานในสหรัฐอเมริกา ฝ่ายที่ต่อต้านก็มักจะมองว่าการค้าอาวุธเสรีเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของพวกเขา เนื่องจากคนทั่วๆไปสามารถซื้ออาวุธได้โดยแทบไม่มีการเช็คประวัติผู้ซื้อ ทำให้เกิดการฆ่าหมู่ในหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมา

ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นเรื่องของการมีอาวุธไว้ป้องกันตัวเอง ประกอบกับมีสมาคมผู้ค้าอาวุธไรเฟิลหนุนหลังอยู่ เป็นองค์กรที่มีอำนาจมากขนาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐได้ เห็นกันชัดๆก็คือสามารถดึงเงินออมจากกลุ่มคนทำงานไปลงทุนในบริษัทค้าอาวุธได้แบบเนียนๆ ภายใต้ชื่อ “แผนการลงทุนหลังเกษียณ 401k”

คราวนี้เรื่องมันก็เริ่มแดงตรงที่มีคนนับ 51 ล้านคนที่อยู่ในระบบแผนการลงทุน 401k แทบไม่รู้ว่าเงินของพวกเขาถูกลงทุนในบริษัทค้าอาวุธ ซึ่งในจำนวนนั้น มีญาติของผู้เสียชีวิตจากฆ่าหมู่ในเหตุการณ์ โรงหนัง Aurora , Sandy Hook และเหตุการณ์โด่งดังอื่นๆ แคมเปญนี้จึงจัดขึ้นเพื่อบอกเล่าข่าวสาร คงน่าปวดใจมากเมื่อได้รู้ว่าเงินของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องทำให้บุคคลอันเป็นที่รักของเขาต้องตาย ในขณะที่บริษัทขายอาวุธยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้แคมเปญนี้ยังได้สร้างเว็บไซท์เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมแคมเปญได้ตรวจสอบว่าเงินของพวกเขาอยู่ใน 401k อยู่มากเท่าไหร่ พร้อมกับ option ที่เสนอให้ถอนการลงทุนของพวกเขา

โดยส่วนขอไม่ตัดสินเหตุการณ์นี้ เพราะเชื่อว่าคงยังมีเรื่องราวมากกว่าที่เรารู้ อีกทั้งตรรกะและแคมเปญมีลักษณะชี้นำค่อนข้างรุนแรง แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ วิธีการสื่อสาร ซึ่งมุ่งเน้นกับขับเน้นทางอารมณ์มาก นับเป็นดาบสองคม  ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะนำมันไปใช้แบบไหน

ขอเตือนอีกครั้งนะครับ โปรดใช้จักรยานในการรับชม

This film holds a dark truth that 51 million Americans should know.

In the 15 years since Columbine, our nation has seen over 1.4 million people injured or killed by guns, and gun companies have made more money year after year. We brought victims of gun violence together to discuss the problem and to ask: How much of the gun industry’s growth is actually coming from us all? Go to http://unloadyour401k.com/ to find out.

Advertising Agency: Grey New York

Tagged , , , , , , , ,