Category Archives: Environment

ปลูก “ไม้ประแดก” at Ma:D Social Entrepreneurs Hub

20140824_132014

สวัสดีครับทุกท่าน ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเคยไปปลูกข้าวมั้ย ถ้ายังไม่เคย ผมจะชวนทุกคนมาปลูกข้าวกันครับ 🙂 แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณไม่ต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าไปไหนทั้งนั้น เพราะผมจะมาชวนคุณปลูกข้าวที่บ้านของคุณนั่นแหละ จะเป็นบ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดก็ปลูกได้หมดครับ

เมื่อวานนี้ผมได้ไปงานเวิร์คช็อป “ปลูก ไม้ประแดก” ซึ่งงานนี้ผู้จัดตั้งใจทำเป็นแคมเปญใหญ่เลยครับ เป็นงานที่มีแนวคิดว่า เราสามารถปลูกพืชประดับเพื่อตกแต่งบ้านก็ได้ แถมยัง “แดก” ได้ด้วยนะ! ใช่ครับ ไม้ประแดกที่ว่านี่ก็คือ “ข้าว” นี่แหละครับ

ลองนึกภาพดูสิครับว่าสิ่งที่พ่อแม่เราบอกกันนักหนาว่าให้กินข้าวให้หมดจาน หรือแม้แต่กระทั่งสิ่งผู้นำประเทศมักจะบอกกับเราอยู่เสมอว่าข้าวเป็นสมบัติของชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาหลายร้อยปี แต่สุดท้ายคนเมืองธรรมดาอบ่างเราเห็นข้าวมันถูกแพ็คมาเป็น “ถุง” เรียบร้อยแล้ว คำถามของผมก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของข้าวมากแค่ไหน เพียงแค่เราได้เห็นแค่ปลายทางของมัน?

20140824_134733

แคมเปญปลูกไม้ประแดกจึงคิดว่าอยากส่งมอบประสบการณ์ความเป็นชาวนาและศิลปินมาสู่คนเมือง คนที่กินข้าวทุกวันแต่กลับไม่รู้ที่มา ให้พวกเค้าได้สัมผัส ให้พวกเค้าได้รับรู้ถึงความยากลำบากของชาวนา โดยที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมายเลย ขอเพียงแค่มุมหนึ่งในบ้านหรือที่ทำงานของคุณ แล้วลองดูซิว่าพื้นที่เพียงเล็กน้อย คุณจะสามารถรับผิดชอบมันได้มากแค่ไหน?

20140825_105422

แคมเปญนี้จะใช้ผลิตภัณฑ์มาเป็นตัวส่งมอบประสบการณ์ครับ ด้วยการจัดแพ็คเกจที่คุณสามารถนำไปปลูกที่บ้านได้เลย ซึ่งในหนึ่งชุดก็จะมีแผ่นพับบอกรายละเอียดและวิธีการปลูกของข้าวแต่ละสายพันธุ์ ปุ๋ยขี้ค้างคาว ไตรโคเดอมาแบบน้ำ (เชื้อราดีที่เอาไว้แช่เมล็ดข้าวเพื่อป้องกันเชื้อรา)ไตรโคเดอมาแบบผง (ผสมกับดินเพื่อป้องกันเชื้อราในดิน)ถ้วยกระดาษย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (แหล่งอนุบาลพันธุ์ข้าว) ป้ายปัก (บอกชื่อพันธุ์และวันที่เริ่มปลูก) กระถางปลูกข้าว (สูงไม่น้อยกว่า 30 cm และไม่มีรูระบายน้ำ) และสุดท้ายพระเอกของเรา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เราคัดมากับมือ (มีให้เลือก5 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมปทุมเทพ ข้าวก่ำดอ ข้าวลืมผัว ข้าวปะกาอำปิล และข้าวหอมนิล) ซึ่งวันนี้ผมก็ได้เลือกข้าวหอมปทุมเทพมาครับ

20140824_132106

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากการคัดสายพันธุ์ข้าวครับ ซึ่งพี่เค้าบอกว่านี่คือองค์ความรู้ชุดแรกที่เกษตรกรควรจะมี (เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าเราจะต้องกินข้าวพันธุ์ไหน) ซึ่งก็มีหลักการอยู่ว่า จมูกข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีไข่ปลาซิว และหัวกับท้ายเมล็ดจะต้องตรงเสมอกัน ซึ่งเหตุผลที่ต้องคัดพันธุ์ก่อนก็เพราะว่าเราจะเลือกอดัมกับอีฟของข้าวที่จะเอามาไว้ในบ้านเรา การเลือกพันธุ์ที่ดีก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและการขยายพันธุ์มากขึ้น ขอบอกตรงๆเลยว่าแค่ขั้นตอนนี้ก็โคตรยากและใช้สมาธิมาก ใช้เวลากัน 2-3 ชั่วโมง (ในรายละเอียดมีอีกเยอะ ต้องลองเข้าเวิร์คช็อปดูครับ)

อีเวนท์ที่จัดขึ้นจบที่ขั้นตอนนี้ครับ ที่เหลือก็รอให้เหล่า “เกษตรกร” หน้าใหม่ขนชุดปลูกข้าวมินิกลับไปลองปลูกดูที่บ้าน ตั้งกลุ่มรายงานผล อีกสักอาทิตย์นึงคงได้เห็นความก้าวหน้าครับ 🙂

ก็อย่างที่เล่าไปตอนแรกครับ แคมเปญนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นชาวนาได้ถึงในบ้าน เพราะคนเมืองไม่ค่อยรู้ถึงแหล่งที่มาของข้าว แคมเปญนี้จึงเป็นช่องทาง “สื่อสารโดยตรง” ระหว่างผู้ปลูกกับผู้กิน ให้ผู้กินได้มองเห็นถึงคุณค่าและได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ และอาจจะเป็นฐานนำไปสู่การสร้างระบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบการปลูกข้าวในเมืองซึ่งกันและกัน เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง และสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือเราทุกคนก็จะมีส่วนในการช่วยกันรักษาพันธุ์ข้าวดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่รู้กันครับ นโยบายด้านข้าวในระดับชาติมักจะถูกผูกโยงกับเรื่องของตลาด ทำยังไงก็ได้ให้ขายได้เยอะๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิศทางของการผลิตข้าวก็จะถูกแปรเปลี่ยนจากคุณภาพไปสู่ปริมาณ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองก็จะเริ่มหยุดพัฒนาสายพันธุ์และสูญหายไปในที่สุด

ประกอบกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้แทบจะไม่มีใครสนใจไปทำงานภาคการเกษตร ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนรุ่นใหม่อาจจะเผชิญกับวิกฤตทางด้านอาหารครั้งรุนแรงก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แคมเปญนี้กำลังทำอยู่จึงไม่ใช่เพียงแค่ส่งมอบประสบการณ์ชิคๆคูลๆครับ แต่อาจจะไปไกลถึงการกำหนดอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศก็เป็นไปได้นะครับ นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วครับ

(ถ้าท่านไหนสนใจเข้าเวิร์คช็อป “ปลูกไม้ประแดก” ต้องอดใจรอสักนิดนะครับ ได้ข่าวแว่วๆมาว่าจะจัดกลางเดือนหน้าอีกรอบที่เอกมัย แล้วจะมาบอกข่าวอีกทีนะครับ)

Tagged , , , , , , , , , , ,

Nevada Resort Association Environmental Initiative: Light it Up

light it up1

แคมเปญนี้จะออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยนะครับ แล้วก็ขอดักไว้ก่อนว่าถ้าอยากจะดูเอาซึ้งๆหรือน้ำตาแตก แคมเปญนี้คงทำไม่ได้นะฮะ

เรื่องมันเกิดที่รัฐ Nevada สหรัฐอเมริกา ถ้าพูดถึงเรัฐ Nevada ปุ๊ป ภาพที่ตามมาก็คงจะเป็น Las Vegas มหานครที่ไม่เคยหลับไหลซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมความบันเทิงแบบครบวงจร ถึงขนาดมีคนบอกว่าถ้ามองจากนอกชั้นบรรยากาศ Las Vegas เป็นเมืองหนึ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากันเลยทีเดียว

แต่ก็นั่นแหละครับ ความสว่างไสวทั้งวันทั้งคืนก็ต้องแลกมากับการบริโภคพลังงานอย่างมหาศาลถึง 146 เมกะวัตต์ต่อปี ถามว่ามากขนาดไหน ในวิดีโอเค้าเทียบว่ามากกว่าเกาะฮ่องกงใช้ทั้งปี 3.5 เท่า (ปี 2013)

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าหากเราผสมคาร์บอนไดออกไซด์กับ Fluid Electrolyte (รบกวนท่านที่มีความรู้อธิบายคร่าวๆหน่อยครับ) ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ แต่คำถามมันติดอยู่ตรงที่ว่าเราจะไปหาคาร์บอนไดออกไซด์ได้ที่ไหน

คำตอบคือ “บุหรี่ไงครับ”

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าเค้าอนุญาตให้สูบบุหรี่ภายในอาคารได้ ไม่ผิดกฎหมาย ทาง Nevada Resort Association จึงริเริ่มแคมเปญ Light it up ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ที่ดักจับควันบุหรี่เพื่อแปลงไปเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งเค้าบอกว่าบุหรี่ที่ดูดหมดหนึ่งตัวจะให้พลังงานได้ 0.33 เมกะวัตต์ โดยในแต่ละวันจะมีคนสูบบุหรี่ใน Las Vegas ประมาณวันละ 950,000 ตัว นั่นเท่ากับว่าในหนึ่งปีเราจะสามารถผลิตไฟฟ้าจากบุหร่ได้ถึง 11.5 เมกะวัตต์กันเลยทีเดียว (ให้นึกภาพว่าใช้ 146 แต่แบ่งเบาไปได้ 11.5 นั่นเท่ากับว่าต้นทุนของการบริหารจัดการในเมืองนี้จะถูกลงเกือบ 10% ซึ่งในระระยาวถือว่าคุ้มมากๆ)

ก็ถือว่าเป็นแคมเปญแปลกๆที่ไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไชบอกว่า “บุหรี่ไม่ดีนะ” โจทย์ของแคมเปญนี้คือการใช้ประโยชน์จากคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว นั่นเท่ากับว่าคนที่สูบบุหรี่เค้าแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเลย

อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ว่าผมสนับสนุนให้สูบบุหรี่เพื่อไปผลิตกระแสไฟฟ้ากันนะครับ ไม่ใช่ว่าดูแคมเปญนี้จบแล้วก็ไปตะบี้ตะบันตะบันสูบ ควันมันคงไปไม่ถึง Las Vegas หรอกนะ

จริงๆแล้วก็น่าเอามาปรับใช้กับเมืองไทยดูมั่งนะ เพราะคนไทยก็สูบบุหรี่ก็ไม่น้อยเลย เพียงแต่ติดที่ว่าส่วนใหญ่เค้าห้ามสูบบุหรี่ในตัวอาคาร คงทำแบบในเคสนี้ไม่ได้ น่าคิดเหมือนกันว่าไหนๆเค้าก็สูบบุหรี่อยู่แล้ว เราจะสร้างประโยชน์จากคนกลุ่มนี้เพื่อเหตุผลทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในวิธีอื่นๆได้หรือไม่

light it up2 light it up3 light it up4 light it up6

Advertising Agency: Miami Ad School, New York, USA

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

COLOMBIA’S MINISTRY OF ENVIRONMENT AND NATURAL RESOURCES: THE LIONFISH INVASION, TERRIBLY DELICIOUS

Terribly delicious

ท่ามกลางกระแสปกป้องการล่าสัตว์ขององค์กรพิทักษ์สัตว์ทั่วโลก นานๆจะเจอแคมเปญนี้ ที่บอกให้ “ล่า” เพื่อรักษาสภาพแวดล้อม

เรื่องมันเกิดขึ้นในคาบสมุทรแคริบเบียนครับ ไม่รู้ว่าเคยได้ยินชื่อ “ปลาสิงโต” กันบ้างหรือเปล่า ปลาชนิดนี้มันโหดร้ายมากครับ เพราะจากสถิติเค้าบอกว่าปลาชนิดนี้กำลังทำลายระบบนิเวศตามชายฝั่งคาบสมุทรแคริบเบียนที่มีพรมแดนติดต่อประมาณ 30 ประเทศ ทำลายปะการังตามแนวชายฝั่งและโหดหิน อีกทั้งในแต่ละปี ปลาชนิดนี้ (แต่ละตัว) มันสามารถวางไข่ได้มากถึง 2 ล้านฟอง เรียกได้ว่ามันเกิดมาเพื่อทำลายล้างโดยแท้จริงจนถึงขนาดมีคนให้ฉายามันว่าเป็นเอเลี่ยนเลยนะ

แต่ก็อย่างว่าครับ มนุษย์สุดประเสริฐอย่างเรา ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ล่าที่แท้จริงบนโลกใบนี้คงปล่อยให้คาบสมุทรพังพินาศต่อหน้าต่อตาไปไม่ได้ เราคงต้องทำอะไรซักอย่างกับมัน ……………… กินมันซะ!

แคมเปญนี้เริ่มต้นที่โคลัมเบียครับ ปัญหาปลาสิงโตเค้าได้ยกให้เป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆของประเทศ แล้วแถมกระทรวงทรัพยากรก็ถึงกับลงมาเล่นเองเลยครับ

แล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรสำหรับเจ้าปลาชนิดนี้ เพราะเวลาเอามาทำอาหารแล้วดันเ_ือกอร่อยอีก จากเดิมที่ปลาชนิดนี้จะมีขายแค่ในเฉพาะระดับเมนูหรูหราหากินยาก ก็ขยับมาสู่ตลาดแมส เริ่มตั้งแต่ต้นน้ำด้วยการที่ชาวประมงก็หันมาจับปลาสิงโตมากขึ้น จ้างเชฟมารังสรรค์เมนูตามภัตตาคารและโรงแรม รวมไปถึงวางขายเจ้าปลาชนิดนี้ใน Super Market เรียกได้ว่าสร้าง Supply chain ให้กับเจ้าปลาชนิดนี้โดยเฉพาะกันเลยทีเดียว

ยังไม่พอครับ แคมเปญนี้ยังขยับไปในมิติศาสนาด้วยครับ เพราะประชากรส่วนใหญ่ในโคลัมเบียนับถือคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก มากกว่าครึ่งมีประเพณีว่าต้องกินปลาในช่วงเทศกาล Lent and Easter (ประวัติและเทศกาลนี้ อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจครับ แต่ให้เข้าใจว่าเป็นพิธีทางศาสนา)และใช่ครับ หวยก็มาออกที่เจ้าปลาสิงโตเนี่ยแหละครับ ด้วยคำเชิญชวนของบาทหลวงของแต่ละโบสถ์ แจ็คพ็อตก็มาตกลงที่เจ้าปลาสิงโตในที่สุด

แคมเปญนี้ไม่ใช่เล็กๆเลยครับ เพราะเค้าทำกันในระดับชาติ ถึงขนาดประธานาธิบดีก็ออกมาสนับสนุนแคมเปญนี้ ซึ่งเค้าแสดงสถิติออกมาว่า การที่เรากินปลาสิงโตหนึ่งตัวนั้น เราจะสามารถช่วยปลาตัวอื่นๆในท้องทะเลได้มากกว่า 34,000 ตัว สัตว์น้ำจำพวกหอยกว่า 6,000 ตัว และสปีชีส์อื่นๆในท้องทะเลอีกมากกว่า 3,500 สปีชีส์

แม้ว่าแคมเปญนี้จะยังไม่มีการสรุปผลอย่างชัดเจน แต่ก็คงเดาได้ไม่ยากครับว่าแคมเปญนี้เกี่ยวข้องกับประเทศตามแนวชายฝั่ง 30 ประเทศ ผลลัพธ์ออกมาคงไม่เล็กแน่ๆครับ ไว้ถ้ามีการรายงานผลเมื่อไหร่ ผมจะเอามาให้ชมนะครับ

Advertising Agency: Geometry Global, Colombia

Tagged , , , , , , ,

Intermarché: Inglorious Fruits and Vegetables

Inglorious Fruits and Vegetables1

ประเดิมงานชิ้นแรกจาก Cannes Lion 2014 ด้วยผลงานชิ้นนี้ครับ “Inglorious Fruits and Vegetables” (ได้รางวัล Gold ในหมวด Promo & Activation)

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าประเทศในแถบยุโรปเค้ามีแคมเปญรณรงค์ “Eat 5 a day” หรือแปลง่ายๆก็คือ “กินให้ได้วันละ 5 อย่างนะ” ซึ่งแคมเปญนี้เกิดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้คนกินผักผลไม้ 5 ชนิตต่อวัน ซึ่งเค้าวิจัยกันมาว่าการกินผักผลไม้หลายชนิดจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง ซึ่งแน่นอนครับว่าประโยชน์จากการกินผักผลไม้วันละ 5 ชนิดจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย

คราวนี้มันมีสถิติโผล่ออกมา ซึ่งบอกว่าในแต่ละปีเรากลับโยนผักผลไม้ทิ้งไป เพราะไม่ถูกขนาด หน้าตาไม่สวย หรือเกิดมาพิกลพิการ (สมควรลาออกจากการเป็นผักผลไม้ซะ) ถึง 300 ล้านตัน!!! ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ ดังนั้น Intermarché แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่เป็นอันดับสามในฝรั่งเศส เห็นโอกาสที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้กับผักผลไม้ที่แสนเวทนาพวกนี้ด้วยการโปรโมทพวกมันขึ้นมาดื้อๆเลยครับ แถมยังเอาผักผลไม้หน้าตาประหลาดมาเป็นพรีเซนเตอร์อีกต่างหาก แอปเปิลเอย มันฝรั่งเอย ส้มเอย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์แบบที่ไม่เหมือนใคร และก็คงไม่มีใครอยากจะเหมือนด้วย โดยที่ผลไม้พวกนี้จะถูกนำมาวางขายที่ Intermarché ในราคาที่ถูกกว่าปกติถึง 30% ซึ่งแน่นอนว่าทั้งรูปลักษณ์และราคาแบบนี้ คงจะยากที่จะรอดพ้นสายตาผู้บริโภคอย่างเรา

หรือถ้าใครทำใจกับรูปลักษณ์อันแสนอัปลักษณ์ไม่ได้ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างเช่นซุปหรือน้ำผลไม้ ซึ่งแน่นอนครับว่ารสชาติมันก็เหมือนกันนั่นแหละ มีแต่คนเราชอบอุปทานไปเอง

และผลของแคมเปญนี้ก็เป็นไปตามคาดครับ ผักผลไม้หน้าตาประหลาดเหล่านี้ถูกขายออกไปอย่างรวดเร็วถึง 1.2 ตันต่อสาขาในระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันแรกของการรันแคมเปญ มีลูกค้าเข้ามาที่ Intermarché เพิ่มขึ้น 24% และยังจุดประเด็นการทิ้งขว้างอาหารที่เข้าถึงคนได้มากถึง 13 ล้านคนภายในเดือนแรก และกวาดพื้นที่สื่อไปมหาศาล

Advertising Agency: MARCEL, Paris

Tagged , , , , , , , , , , , ,

Truth Coffee: Seeds of truth

Seeds of truth1

ถ้าไม่มีคนสะกิดบอกสักหน่อย เราก็คงไม่คิดนะครับว่าแค่แก้วกาแฟกระดาษที่เราคุ้นหน้าค่าตากันอยู่ทุกวันมันจะสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมไม่น้อย นอกจากจะต้องนำวัตถุดิบจากต้นไม้มาทำแก้วกระดาษแล้ว ยังต้องมีต้นทุนในการกำจัดขยะอีก ทั้งๆที่มันเป็นกระดาษแท้ๆ

Truth Coffee แบรนด์ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียงมากในเคปทาวน์ แอฟริกาใต้มองเห็นโอกาสว่าในเมื่อตัวแก้วมันเป็นกระดาษ เราก็ควรปล่อยให้มันย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปเข้ากระบวนการรีไซเคิลที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะโดยไม่จำเป็น

โปคเจ็คนี้เริ่มต้นที่การดีไซน์แก้วกระดาษเสียใหม่ ทำแพ็คเกจให้ดูมีคุณค่า คู่ควรต่อการเก็บไว้ ตามมาด้วยปลอกกระดาษกันความร้อน ซึ่งในปลอกนี้มีเมล็ดพืชสมุนไพรฟังเข้าไปอยู่ด้วย ใช่ครับ! เดาไม่ผิดครับ เค้าตั้งใจจะให้แก้วกาปฟเป็นกระถางปลูกต้นไม้จิ๋วแทนที่จะทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ครับ ซึ่งมิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย เทื่อดื่มกาแฟเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการขยำๆปลอกกันความร้อนใส่ลงไปในแก้ว เอาดินกลบ เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย หรือถ้ากลัวลืมก็อาจจะเอาไม้ไอติมมาปักทำสัญลักษณ์หน่อยก็ไม่ว่ากัน

และก็อย่างที่รู้กันว่าแก้วกระดาษมันย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เราก็สามารถเอาแก้วนั้นลงดินได้เลย จากนั้นก็รอดูความงอกงามได้เลยครับ

จริงๆแล้วคอนเซปต์การฝังเมล็ดพืชไว้ในกระดาษไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันขึ้นอยู่กับการสื่อสาร เพราะถ้าวันนี้มีคนบอกให้คุณไปปลูกต้นไม้เดี๋ยวนี้เชื่อว่าเกือบร้อยทั้งร้อยคงไม่ทำเพราะมันยุ่งยาก แต่ถ้าจัดแพ็คเกจมาให้เรียบร้อยแล้วแบบโปรเจ็คนี้เชื่อว่าคงปฏิเสธได้ยาก เพราะมันดูง่ายๆ เพียงแค่ 3-4 สเต็ปคุณก็เริ่มปลูกต้นไม้ได้แล้ว ชิมิ ชิมิ

We made the traditional protector ring out of paper containing herb seeds, turning the disposable coffee cup into a pot… and the start of a basil, rocket or thyme herb garden.

We redesigned the cup using beautiful illustrations inspired by the idea itself – creating something people would want to keep. We gave the cup a life beyond its original purpose and added freshness and flavour to any city kitchen.

More importantly, because the cup is biodegradable, it can be planted in the ground and made to disappear forever – leaving behind a living, breathing, greener reminder of how a little bit of truth, can make a world of difference.

Seeds of truth4 Seeds of truth5 Seeds of truth6 Seeds of truth2 Seeds of truth3

Advertising Agency: Native VML, Cape Town, South Africa

Tagged , , , , , , , , ,

Coca-Cola: 2nd Lives

Coca-Cola 2nd Lives

คงนึกภาพกันไม่ออกใช่ไหมครับว่าเวลาเราดื่มน้ำอัดลมหมดแล้ว ขวดน้ำอัดลมมันเอาไปใช้อะไรอย่างอื่นได้หรือไม่ ถ้ายังคิดไม่ออกต้องลองดูแคมเปญนี้ครับ

โค้กร่วมกับโอกิลวี่ปักกิ่งได้ตั้งโจทย์ถึงความสูญเปล่าของขวดน้ำอัดลม เมื่อเวลาเราดื่มเสร็จแล้ว ปลายทางของมันก็คงไปจบที่ถึงขยะหรือไม่ก็โรงรับซื้อของเก่า ซึ่งไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรอย่างอื่นเลยนอกจากแค่ใส่น้ำอัดลม ทำไมเราไม่ลองใช้ประโยชน์จากความว่างเปล่าของขวดดูเล่า นี่ก็เลยเป็นที่มาของแคมเปญ ‘2ndLives’ แคมเปญที่ตั้งใจทำให้ขวดน้ำอัดลมเปล่ากับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง ด้วยการดีไซน์ฝาขวดโค้กแบบใหม่ถึง 16 แบบ ให้ทำหน้าที่ได้แบบครอบจักรวาลนับตั้งแต่ที่ใส่แชมพู ที่ใส่ซอส กบเหลาดินสอ ที่ฉีดสเปรย์ ปืนฉีดน้ำและอีกมากมายมหาศาล

อันที่จริงแล้วแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนฝาขวดไม่ใช่เรื่องใหม่ อีกทั้งหลายคนก็คงตั้งข้อสงสัยว่าจริงๆแล้วพระเอกของแคมเปญนี้มันคือตัว “ฝา” รึเปล่า หรือพลาสติกที่ผลิตออกมามันจะกลายเป็นเพิ่มขยะแทนมั้ย โดยส่วนตัวผมมองว่าถ้าฝาพวกนี้ได้ใช้งานแบบที่โค้กตั้งใจจะให้มันเป็นจริงๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียดายครับ แต่นอกเหนือจากข้อสงสัยที่ว่ามา ผมกลับมองว่านี่คือการสร้างทัศนคติที่ดีต่อตัวแบรนด์เป็นอย่างมาก (ในกรณีที่ถูกใช้จริง) เพราะคนที่ใช้ก็จะเห็นแบรนด์ตลอด แม้กระทั่งลอกฉลากออก ตัวฝาเองก็ยังคงเป็นสีแดงซึ่งเป็น breand identity ของโค้ก ถือว่าเป็นความพยายามหลอมหลวมเข้ากับวิถีชีวิตของผู้คนได้น่าสนใจและน่าศึกษามากครับ

As part of its global sustainability program, Coca-Cola has launched ‘2ndLives’, a line of 16 innovative caps which can be screwed onto bottles after consumption, transforming them into fun and useful objects, such as a paintbrush, water squirter and pencil sharpener, among others, and encouraging consumers to reuse and recycle plastic.

Advertising Agency: Ogilvy & Mather Beijing, China

Tagged , , , , , , , , ,

Sea Shepherd: Bleeding Ocean

Sea Shepherd Bleeding Ocean

เราคงเคยเห็นภาพในข่าวหรือสารคดีเกี่ยวกับการล่าหูฉลามเพื่อการค้า ภาพที่เห็นก็คงไม่พ้นในทำนองที่ว่า จับฉลามขึ้นมา ฟาดๆๆๆ จากนั้นก็ตัดครีบของมัน แล้วก็โยนมันกลับลงทะเล ซึ่งพวกเราทุกคนก็คงรู้ว่ามันคงอยู่รอดได้อีกไม่นาน ซึ่งมีการรายงานว่าบราซิลเป็นประเทศที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่ส่งออกหูฉลามมากที่สุดในโลก (200 ตันต่อปี!!!)

ร้อนถึง Sea Shepherd องค์กรอิสระที่ทำงานด้านการรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเลซึ่งมองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างกับปัญหานี้ จึงเป็นที่มาของแคมเปญ Bleeding Ocean ด้วยการไปขอให้ผู้ให้บริการแผนที่บนเว็บไซท์และแพลตฟอร์มอื่นๆ เปลี่ยนสีน้ำทะเลจากสีฟ้าเป็นสีแดงเถือก เพื่อชี้ให้คนในบราซิลเห็นว่ามันมีเรื่องที่น่ากลัวแบบนี้เกิดขึ้นอยู่

โดยส่วนตัวถ้ามองในเชิงการสื่อสารเรามองว่าเป็นไอเดียเริ่มต้นที่น่าสนใจ เข้าถึงคนได้หลากหลาย แต่น่าเสียดาย มันอาจจะไม่ impact พอที่จะทำให้คนลุกขึ้นมาสู้ (เรามองว่ามันไม่เวิร์คสำหรับเรา) โดยส่วนตัวมองว่าควรมีแคมเปญเชิงกายภาพที่จัดควบคู่ขึ้นไปด้วย น่าจะให้ผลได้ดียิ่งขึ้น แต่ถึงยังไงก็ตาม ปัญหานี้ก็คงเป็นที่รับรู้ของคนทั้งประเทศ เมื่อคนเริ่มรับรู้ ก็สามารถนำไปต่อยอดกิจกรรมอื่นๆได้อีกแน่นอน ฟันโอ!

 

 

Tagged , , , , , ,

Malaysian Nature Society: Be good to nature

Portable bird house1 Portable bird house2 Portable bird house3

To promote nature appreciation in the city, we created a series of poster with pop-up birdhouses. These posters were sent as flat-packed mailers to partners and supporters of Malaysian Nature Society. Recipients became brand ambassadors and were encouraged to display the poster at their place of business.

Advertising Agency: RAPP, Kuala Lumpur, Malaysia

Tagged , , , , , , , , ,