Category Archives: Disease

National Neurological Institute: Alzheimer’s News Editors

Alzheimer's News Editors1

ครั้งแรกที่ได้ดูแคมเปญนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า “อื้อหือ” เรียบง่ายแต่ล้ำลึกจริงๆ

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศมาซิโดเนีย  แคมเปญนี้เริ่มต้นจากสถาบันประสาทแห่งชาติเค้าอยากจะให้ชาวมาซีโดเนียหันมาสนใจประเด็นเรื่องโรคอัลไซเมอร์กันมากขึ้น อยากให้มาตรวจกันกันตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้ ก็อย่างที่รู้กันครับโรคนี้มันคือโรคความจำเสื่อม แต่จะขอเสริมอีกนิดนึงว่าคนที่เป็นโรคนี้จะจำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องในอดีตนะพ่อคุณเอ้ย เล่าได้ลึกซะยิ่งกว่าเส้นใยทอละเอียดสิบแปดนาโนเมตร

วิธีคิดของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ ทางทีมงานเค้าก็ได้เข้าไปหากลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์จริงๆ แล้วขอให้พวกเค้าเล่า “ข่าว” ที่พวกเค้าจำได้ล่าสุดให้ทีมงานฟัง ซึ่งข่าวที่กลุ่มผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้น ทีมงานก็จะไปค้นหาหนังสือพิมพ์เก่าที่มีข่าวเหล่านั้นอยู่ ตัด แล้วเอามาแปะ ทำเป็นหนังสือพิมพ์เล่มใหม่ จากนั้นทีมงานก็ได้ขอให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในประเทศทั้ง 3 เจ้า เอาหนังสือพิมพ์ฉบับอัลไซเมอร์มาลงไว้ในหน้าแรกในวันอัลไซเมอร์สากล

ลองคิดภาพดูเล่นๆนะครับว่าถ้าสมมติเอามาลงๆทยรัฐหรือเดลินิวส์ จะมีคนไทยเห็นข่าวนี้กี่คน แต่ยังครับ ยังไม่หมด ทางช่องทีวีเค้าก็เล่นด้วย ด้วยการเอาข่าวเก่ามากออกอากาศ อย่างเช่น ข่าวควีนไดอาน่า ข่าว 9/11 ข่าวยานอพอลโล 11 ลงจอดที่ดวงจันทร์ พร้อมกับตบท้ายว่า “ถ้าไม่อยากจำได้แค่เรื่องราวพวกนี้ มึงจงไปตรวจซะ”

ความเจ๋งของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ เพราะเข้าถึงชาวมาซีโดเนียได้ถึง 68% และมีคนเข้ารับคำปรึกษาเรื่องโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเดิมถึง 215% ไม่ใช่เล่นๆเลยนะตัวเธอว์

ก็กลับมาที่คอนเซปต์คลาสสิกสำหรับการทำแคมเปญครับ คือเรื่องของ “การส่งมอบประสบการณ์” แม้แคมเปญนี้จะไม่ได้เน้นสร้างแคมเปญให้ดูอีโม แต่ด้วยช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่มหาศาลที่มาพร้อมกับกิมมิคเจ๋งๆที่ทำให้ชาวมาซีโดเนียมีกระตุก จึงทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่มีข้อกังขา เพราะอย่างนี้ นี่เองงงงงงง!

Alzheimer's News Editors2 Alzheimer's News Editors3

Alzheimer's News Editors4

Advertising Agency: Publicis, Skopje, Macedonia

Tagged , , , , , , , , ,

Beat Bowel Cancer Aotearoa: Bums Are Full Of Surprises

Bums Are Full Of Surprises1

มาอีกแล้วครับ สำหรับแคมเปญฮาๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าพระเอกของแคมเปญนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพหรือวิดีโอเครับ แต่มันอยู่ที่ “เสียง”ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ดูวิดีโอแคมเปญนี้ คุณจะไม่เก็ท แล้วคุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแน่นอนครับ

Beat Bowel Cancer Aotearoa องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง Awareness ให้ความรู้ ช่วยเหลือ และทำวิจัยเกี่ยวกับ “มะเร็งลำไส้” ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก อยากจะทำสร้างแคมเปญที่ให้ผู้คนในนิวซีแลนด์หันมาสนใจปัญหามะเร็งลำไส้กันมากขึ้น เพราะจากสถิติพบว่าในจำนวนคนนิวซีแลนด์ประมาณ 4.5 ล้านคน ทุกๆ 1,000 คนจะตรวจพบคนที่เป็นมะเร็งลำไส้เฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 9.3 คน หรือพูดง่ายๆก็คือคนนิวซีแลนด์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้เกือบ 1% คิดแบบกลมๆก็หมายความว่าจะมีคนนิวซีแลนด์เป็นมะเร็งลำไส้ถึง 45,000 คน คร่าชีวิตชาวนิวซีแลนด์มากกว่ามะเร็งเต้านมรวมกับมะเร็งต่อมลูกหมากซะอีก (เริ่มเยอะแล้วใช่มั้ยครับ) เค้าก็เลยคิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้

ถ้าคุณได้ดูวิดีโอเปิดตัวแคมเปญนี้ คุณจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนกางขาอยู่บนรถบรรทุก 2 คัน นายคนนี้ชื่อว่า Jean-Claude Van Damme เป็นนักแสดงชื่อดังที่เก่งด้านหนังบู๊แอคชั่น ซึ่งเค้าถูกจ้างมาเล่นในแคมเปญ The Epic Split เพื่อโชว์แสนยานุภาพของรถบรรทุก Volvo ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ว่ามันเสถียรขนาดกล้าให้นักแสดงคนนี้ขึ้นไปเล่นอะไรพิเรนทร์ๆแบบนี้ได้
แต่สุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะแยกขา 180 องศา ก็มีเสียง “ปี๊ดดดดดดดดดด” ลากยาวออกมา……….. วอทเดอะ!!

Beat Bowel Cancer Aotearoa ได้สร้างเว็บไซท์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งโดยหน้าที่หลักๆของมันแล้ว มันคือเว็บที่เอาไว้ตัดต่อ “เสียงตด” ไปใส่ไว้ในวิดีโออื่นๆ ที่ต้องเป็นเสียงตดก็เพราะว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้จะมีอาการหนึ่งซึ่งผมว่าทุกคนก็น่าจะรู้ซึ่งก็คือ “ควบคุมประตูหลัง” ไม่ค่อยอยู่ ก็อาจจะมีเสียงลมเล็ดลอดออกมาบ้าง กล้อมแกล้มกับพอขมปากขมคอ

แล้วก็โดนกันหมดฮะ เริ่มตั้งแต่วิดีโอแมว การ์ตูน วิดีโอสอนออกกำลังกาย รวมไปถึงวิดีโอดังจากทั่วทั้งมุมโลก แล้วเสียงตดก็มีให้เลือกหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่เสียงตดมด เสียงปืนกล เสียงครกระเบิด ไปจนถึงเสียงเครื่องบินเทคออฟ จะทุ้มจะแหลมจะเบสหนักแค่ไหนก็แล้วแต่จังหวะความคิดสร้างสรรค์ของคุณเลย ซึ่งเมื่อตัดต่อเสร็จ คุณก็สามารถแชร์กับเพื่อนๆบนเฟซบุ๊คหรือแพลตฟอร์มอื่นๆได้

เมื่อเพื่อนของคุณคลิกเข้าไป มันก็จะไปโผล่หน้าวิดีโอที่คุณเพิ่งใส่เสียงตดลงไป แล้วก็จะมีออพชั่นว่าคุณอยากจะบริจาคเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ หรือจะเล่นเอาสนุกเฉยๆก็ไม่ว่ากันครับ ไปลองเล่นกันดูที่ http://www.beatbowelcancer.org.nz/bums-are-full-of-surprises/ ได้เลยนะ

พูดง่ายๆก็คือว่าแคมเปญนี้พยายามที่จะ “แย่งซีน” (Hijack) เหล่าคลิปดังๆทั้งหลาย เพื่อให้คนนิวซีแลนด์มาสนใจเรื่องมะเร็งลำไส้กันมากขึ้นครับ ก็นับได้ว่าเป็นการแย่งซีนที่สร้างสรรค์ และสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ โดยที่ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้เมือยตุ้มกันเลยครับ

เมื่อตะกี้ผมก็ลองเล่นดู อาจจะทำออกมากากๆหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ 😀 (http://www.beatbowelcancer.org.nz/fartbomb/video.php?id=540)

อ้อ! แล้วก็อย่าลืมนะครับ เล่นสนุกได้ แต่ขอให้อย่าลืมประเด็นที่เค้าอยากจะสื่อสารด้วยนะครับ อย่าเล่นจนเพลินเน้ออ

Bums Are Full Of Surprises2 Bums Are Full Of Surprises3

Advertising Agency: Whybin\TBWA, Auckland, New Zealand

Tagged , , , , , , , , , ,

Harrison’s Fund: I wish my son had cancer

i wish my son has cancer

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ เราพามาดูกันที่อังกฤษครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้บอกตรงๆเลยว่า “แม่งแทบจะไม่มีอะไรเลยนี่หว่า” ทั้งตัวไอเดียและสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ได้มีอะไรที่ว้าวเลย ที่น่าสนใจก็คงจะมีแต่ถ้อยคำที่ดู “ยุแหย่” ให้เกิดความดราม่า ตรงนี้แหละครับประเด็น!

เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่ว่ามีคุณพ่อท่านหนึ่ง เขามาลูกชายอายุ 6 ขวบชื่อว่า Harrison แต่น่าอนิจจาที่ลูกของเขาป่วยเป็นโรค Duchenne muscular dystrophy (DMD) หรือถ้าพูดง่ายๆก็คือโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Duchenne_muscular_dystrophy) ซึ่งความโชคร้ายมันอยู่ตรงที่ว่าโรคนี้ยัง ไม่สามารถรักษาได้ อีกทั้งมีสถิติที่บ่งบอกว่าคนที่เป็นโรคนี้จะต้องเสียชีวิตภายในอายุไม่เกิน 20 ปี

เมื่อคุณพ่อได้ทราบเรื่องดังกล่าว เข้าจึงได้ตั้งมูลนิธิที่ชื่อว่า Harrison’s Fund (ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน) ทำหน้าที่ระดมเงินบริจาคเพื่อนำมาใช้ในงานวิจัยและรักษาโรค DMD แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่าโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ถูกค้นพบได้ไม่นาน คนยังไม่รู้จัก การจะไปขอเงินเพื่อทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคใหม่ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะฉะนั้น คุณพ่อจึงคิดว่าควรจะต้องทำให้โรคนี้เป็นประเด็นที่พูดถึงกันในสังคม

คุณพ่อท่านที่จึงขอให้ ais เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่งในลอนดอนช่วยทำแคมเปญให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนมากขึ้น และหน้าตาของแคมเปญก็ออกมาแบบเรียบง่ายมากครับ เพียงแค่ Print ad หนึ่งชิ้นที่มาพร้อมกับข้อความที่ดู “ยุแหย่” ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอ่าน

“ผมอยากให้ลูกเป็นมะเร็ง”

“แฮริสัน ลูกชายวัย 6 ขวบของผม เขาเป็นโรค DMD เขาเป็นหนึ่งในจำนวน 2,500 คนที่เป็นโรคนี้ทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ซึ่งส่วนใหญ่จะตายตอนอายุ 20 ปี ไม่เหมือนกับโรคมะเร็ง เพราะโรคนี้ไม่มีแม้แต่ทางเยียวยาและรักษา อีกทั้งโรคนี้ผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักดี จึงทำให้เงินที่มาสนับสนุนวิจัยโรคนี้น้อยนัก ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผมคือการระดมเงินเพื่อให้เหล่านักวิทยาศาสตร์นำไปใช้ในการวิจัย พวกเขาเริ่มเข้าใกล้สู่การค้นพบแล้ว เพียงแค่ 5 ปอนด์ในมือของท่าน ก็ช่วยให้พวกเขาเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น”

“ร่วมกับหยุดโรค DMD ด้วยการส่งข้อความ STOP13 5£ มาที่ 70070 หรือเข้าไปที่ harrisonfund.com”

ช่างเรียบง่ายและกระแทกอารมณ์ยิ่งนัก ถ้าเป็นคุณ คุณจะช่วยเขามั้ยครับ?

Advertising Agency: ais, London, United Kingdom

Tagged , , , , , , , , ,

World Vision Korea: Children of Fidelity

Children of Fidelity1

ว่ากันว่างานโฆษณาแถบเอเชียจะเก่งมากในเรื่องการทำแคมเปญแนวดราม่า ซึ่งคราวนี้จะพามาดูเคสในเกาหลีใต้กันครับ ดูครั้งแรกก็เล่นเอาน้ำตาซึมเหมือนกันนะฮะ

เริ่มแรกสำหรับแคมเปญนี้เค้าก็จั่วเรื่องขึ้นมาดื้อๆเลยครับ เค้าบอกว่าจะมีการแคสบทภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Children of Fidelity” โดยมี Producer ชื่อดังนามว่า คิมโบซอง มาเป็นกรรมการตัดสินครับ และแน่นอนว่าถ้าชื่อเรื่องมาแบบนี้ เค้าต้องแคสเด็กแน่นอนครับ

และบทที่แคสก็แสนจะประหลาด อย่างเช่น ให้เด็กลองดื่มน้ำสกปรก ให้เด็กสนตะพายแบกของหนัก และให้เด็กปีนขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ลที่อยู่สูงถึง 2- 3 เมตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ว่าเหล่าพ่อแม่ที่พาลูกมาก็ต่างหวาดวิตกกับการแคสบทภาพยนตร์ในครั้งนี้

จนกระทั่งการแคสเสร็จสิ้น ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยครับ

“คุณแม่ครับ ผมต้องขอโทษคุณแม่ทุกท่านอย่างสุดซึ้งจริงๆนะครับ วันนี้ เราได้ขอยืมความกล้าหาญของเด็กๆมาถ่ายทอดเรื่องราวที่คนทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่กลับแทบไม่มีใครสนใจ เพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกของพวกเรา”

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องดื่มน้ำที่ไม่สะอาด” ฉาพภาพเด็กแอฟริกันในเคนยา ตักน้ำจากแหล่งน้ำที่……….. ต้องดูเอาเองครับ

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำงานหนัก” ฉายภาพเด็กแอฟริกันจากแทนซาเนียที่กำลังกระเทาะหินเพื่อหาแร่มีค่า

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำเรื่องที่เสี่ยงอันตราย” ฉายภาพเด็กสาวชาวกานาอายุ 9 ปี ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้

มีสถิติที่น่าตกใจว่าทุกๆ 20 วินาทีจะมีเด็กตายหนึ่งคน อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารและโรคบิด

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องทุกทรมานจากความหิวโหย”

หลักจากนั้นก็ฉายภาพเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในแอฟริกาที่ผมเห็นครั้งแรกแล้วก็รู้สึกตกใจมาก มันมีประโยคหนึ่งที่ผมอ่านแล้วแทบจุกอกคือ “นี่คือลูกอมชิ้นแรกในชีวิตของเขา ที่มีค่ามากกว่าเพชรพลอยทั้งหลาย”

เอาเป็นว่า แคมเปญนี้มันมีความน่าสนใจตรงที่ว่าได้สื่อสารกับคนทั้งสองวัยคือทั้งตัวพ่อแม่และตัวเด็กเอง ซึ่งผมมองว่าทรงคุณค่ามากกว่าแค่การทำแคมเปญเชิงดราม่าเรียกน้ำตาแล้วสุดท้ายก็ระดมทุน สิ่งที่อแคมเปญนี้ไปได้ไกลกว่าคือการปลูกฝังสำนึกให้กับตัวเด็ก ให้พวกเขาได้รู้ตัวว่ายังมีเพื่อนในวัยเดียวกันกับพวกเขาที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง

ก็นั่นแหละครับ พ่อแม่ก็น้ำตาแตกกันไปทั่วหน้า แล้วคุณละครับ รู้สึกยังไง?

[อย่าลืมเปิดซับด้วยนะครับ หรือถ้าใครคล่องเกาหลีก็ไม่ว่ากันครับ]

Children of Fidelity2 Children of Fidelity3 Children of Fidelity4 Children of Fidelity5 Children of Fidelity6 Children of Fidelity7 Children of Fidelity8 Children of Fidelity9

Advertising Agency: AdQUA interactive, Seoul, South Korea

Tagged , , , , , , , , ,

Unicef: The Rolypoly Donation box

UNICEF Rolypoly donation box3

มาอีกแล้วสำหรับแคมเปญแนว Fun Theory เพียงแต่รอบนี้อาจจะต้องรอนานหน่อยกว่าจะเห็นผล

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากเรื่องที่เราทั่วๆไปคงรู้กันอยู่แล้วครับ นั่นก็คือเรื่องปัญหาความอดอยากและโรคระบาดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีเด็กๆนับล้านชีวิตในประเทศเหล่านี้ได้เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ทั้งๆที่เงินไม่กี่เหรียญในมือของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถพลิกความเป็นตายได้เลยทีเดียว

แคมเปญนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเด็กเหล่านั้นครับ โดยแคมเปญจริงๆเค้าทำที่เกาหลีใต้ และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่ทำตุ๊กตาล้ม(ที่ยังไม่)ลุก มาวางไว้ตามที่สาธารณะ โดยเชิญชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยการหยอดเหรียญถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ตุ๊กตายืนขึ้นมาได้ ตรงกับสโลแกนของแคมเปญนี้ที่ว่า “Providing just a little help could save their lives and give them the strengh to stand up on their own”

แคมเปญนี้จะเป็นยังไง เชิญรับชมครับ 😀

UNICEF Rolypoly donation box2 UNICEF Rolypoly donation box4 UNICEF Rolypoly donation box5

Advertising Agency: Daehong Communications Inc, Seoul, Korea

Tagged , , , , , , , , , ,

Mimi Foundation: If only a second

If only a sec3

ถ้าวันนี้ผมขอให้คุณลองดีไซน์แคมเปญที่ทำเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง เป็นคุณ คุณอยากให้มันออกมาหน้าตาเป็นยังไงครับ?

ถ้าเป็นผม ผมวาดภาพเอาไว้ว่ามันจะต้องวาดภาพออกมาดราม่าแน่ๆ และเรื่องราวก็คงมาในธีม “ลมหายใจสุดท้ายที่สวยงาม” ด้วยการเชิญเหล่าผู้ป่วยมาแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ทำ Photobook ขายแล้วก็ระดมทุนเพื่อไปช่วยผู้ป่วยคนอื่นๆ แน่นอนครับว่าภาพที่ออกมาแม้จะดูสวยงามแต่ก็คงหดหู่ชอบกล

แต่แคมเปญนี้มาเหนือกว่าภาพในจินตนาการของผมหลายเท่านัก จนผมบอกได้เต็มปากเลยว่าแคมเปญนี้เป็นแคมเปญที่ผมชอบมากที่สุดในงาน Cannes Lion 2014 แม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่ได้ Gold ก็เถอะ

เรื่องมันก็เหมือนที่ผมเกริ่นมาก่อนนั่นแหละครับ ถ้าจะทำแนวดราม่ามันก็คงไม่ผิดหรอก แต่ทำแล้วจะได้อะไรนี่สิเป็นคำถามสำคัญ

คือถ้าทำเปนแนวดราม่า ผลสุดท้ายลองนึกถึงผู้ป่วยว่าเค้าจะรู้สึกยังไง “ฉันสวยจัง ฉันพอใจ นี่คือความสุขสุดท้ายของฉัน แล้วฉันก็จะตายอย่างสงบ” ฟังดูเศร้าโคตรๆ แล้วเราต้องการแค่นี้เหรอ

แคมเปญนี้เพียงแค่พลิกมุมมองนิดหน่อยก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมากครับ

มันมีคำกล่าวหนึ่งที่พูดถึงโมเมนท์ “Carefree” ซึ่งมันแปลเป็นไทยค่อยข้างยาก แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่ามันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้กังวล เหมือนคำโฆษณาผ้าอนามันยังไงยังงั้นและแหละ ไอ้โมเมนท์ที่ว่าเนี่ยมันสร้างผลเชิงบวกทางอารมณ์ให้กับผู้ป่วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ป่วยอารมณ์ดี โอกาสที่จะรักษามะเร็งหายก็จะเพิ่มมากขึ้น

เค้าก็เลยจับเอาผู้ป่วยมาตั้งไว้หน้ากระจกสองด้าน และขอให้พวกเขาหลับตา จากนั้นทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมก็ละเลงกันเลยครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น ผู่ป่วยเค้าก็คงคาดหวังว่าเมื่อฉันลืมตาแล้วฉันจะต้องสวยที่สุดในชีวิต แต่มันหักมุมตรงที่ว่าแคมเปญนี้เค้าไม่เอาครับ เค้ากลับแต่งหน้าทำผมให้ผู้ป่วยดูประหลาด ดูตลก ดูบ้าๆบอๆ

จนกระทั่งทีมงานขอให้พวกเขาลืมตา โมเมนท์แรกที่เค้าเห็นตัวเองก็ประหลาดใจสุดๆ เพราะผิดจากความคาดหวังมากๆ โดยทุกๆอิริยาบถก็จะถูกช่างภาพในอีกด้านของกระจกถ่ายภาพเก็บไว้ โมเมนท์นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า “Carefree” เพียงแต่ไม่กี่วินาที ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมความเจ็บป่วยไปชั่วขณะ นี่แหละครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อแคมเปญว่า If only a second

ส่วนภาพที่ถ่ายไว้ก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ไปทำปุ๋ยนะครับ เค้าเอามาจัดทำเป็นนิทรรศการพร้อมกับ Photobook เพื่อระดมทุนเข้ามูลนิธิ Mimi Foundation เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อๆไป

เห็นไหมครับว่าเพียงแค่พลิกมุมความคิดนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ได้มหาศาลมาก ผมว่ายากนะสำหรับการทำแคมเปญใดแคมเปญหนึ่งที่มีส่วนผสมของความดราม่าและฟีลกู้ดเอาไว้ด้วยกัน ดูกี่ครั้งก็ซึ้ง 🙂

Advertising Agency: Leo Burnett, Paris, France

If only a sec2 If only a sec4 If only a sec5 If only a sec1

Photo credit: adoftheworld

 

Tagged , , , , , , , , ,

GERMAN RED CROSS: GIVE BLOOD. GIVE POWER.

Give Blood Give Power1

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่เยอรมันครับ ในแต่ละวันของที่นั่นเค้ามีปัญหาคล้ายกันกับบ้านเรานั่นก็คือเลือดไม่พอ ซึ่งต้องการขอรับบริจาคเพิ่มอีกมหาศาล เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ กาชาดเยอรมันจึงคิดว่าควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง โดยที่คิดไปไกลกว่าแค่การรับบริจาคเลือกแบบปกติทั่วไป

แคมเปญนี้เค้าโฟกัสที่เด็กตัวน้อยๆครับ เพราะเค้ามองเห็นว่าจริงๆแล้วเด็กไม่ได้ต้องการแค่ “เลือด” แต่พวกเขาต้องการ “พลัง” สำหรับการต่อสู้กับโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ ลองคิดเล่นๆกันนะครับ ถ้าเป็นคุณ คุณจะหา “พลัง” จากที่ไหน?……………………………….หมดเวลาครับ

แคมเปญนี้ได้เชิญนักฟุตบอลชื่อดังให้มาบริจาคเลือดครับ พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ นักฟุตบอลเหล่านี้ ในสายตาของเด็กๆก็เปรียบเสมือนฮีโร่ที่มีตัวตนจริงๆอยู่บนโลก แคมเปญนี้เค้ามุ่งหวังอยู่สองอย่างครับ 1. อยากสร้างตัวอย่างให้กับนักฟุตบอลโดยเฉพาะมือสมัครเล่น ให้ก้าวข้ามความกลัว(เข็ม) และหันมาบริจาคเลือดเช่นกัน และ 2. เด็กน้อยที่รักษาตัวอยู่ จะได้มีกำลังใจสู้กับโรคร้าย เพราะเค้ารู้ว่าเลือดของฮีโร่ ตอนนี้กำลังไหลไปตามทุกอณูในร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว

และผลลัพธ์ก็เป็นไปได้สวยครับ เพราะเด็กเยอรมันแทบทุกคนมักจะเป็นแฟนบอลตัวยงและมีฮีโร่อยู่ในใจอยู่แล้ว ถุงเลือดที่ได้รับบริจาคมาก็จะมีรูปภาพนักบอลคนนั้นแปะอยู่ให้เด็กเห็นกันจะจะเลยว่าได้มาจากใคร ลองจินตนาการดูสิครับว่าถ้าคุณเป็นเด็กตัวน้อยคนนั้น แล้ววันหนึ่งคุณได้รับเลือดจากคนที่คุณมองว่าเขาเป็นฮีโร่ เด็กคนนั้นจะมีกำลังใจฮึดสู้มากแค่ไหน

ในเชิงตัวเลข แคมเปญนี้ได้เป็นที่พูดถึงทั้งสื่อกระแสหลักอย่างทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์ ลามไปถึงเว็บไซท์ข่าว บล็อก และวิดีโอแพลตฟอร์มอื่นๆอีกเกือบ 500 เว็บไซท์ มีคนได้รับชมแคมเปญนี้มากถึง 18 ล้านคน และได้พื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่าถึง 1.5 ล้านยูโร และในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการเริ่มแคมเปญก็มีนักฟุตบอลหน้าใหม่เข้ามาสมัครเป็นผู้บริจาคเลือกมากถึง 9,000 คน!! และแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กน้อยอีกนับพันนับหมื่นชีวิตจะได้มีกำลังสู้กับโรคร้ายต่อไป ด้วยเลือดของฮีโร่ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกเขา

นึกถึงเมืองไทยแล้วก็น่าทำมั่งนะครับ ว่าแต่…..ฮีโร่ของเด็กไทยสมัยนี้เค้าเป็นใครกันนะ?

Advertising Agency: JUNG von MATT Hamburg, GERMANY

Give Blood Give Power2 Give Blood Give Power3

Tagged , , , , , , , , , ,

OPSM: PENNY THE PIRATE

Penny the pirate

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ตามสถิติในออสเตรเลีย มีคุณแม่หลายท่านที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับสุขภาพสายตาของคุณลูกมากถึง 40% ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะเด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับยีนตาบอดสี หรือหนักหน่อยก็อาจจะมีความผิดปกติแบบรุนแรง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือเด็กจะต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที

ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กดูสักครั้งนะครับ ถ้าสมมติว่าคุณแม่ของคุณชวนคุณไปตรวจสายตากับคุณหมอ เป็นคุณจะไปไหม? เก็บคำตอบเอาไว้ในใจครับ ไม่ต้องบอกผม เพราะคุณอาจจะเลือกไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่ก็อย่างที่เรามีความรู้สึกคุ้นเคยกันดีก็คือ เวลาคุณแม่บอกเราว่า “ไปหาหมอ” “ไปตรวจ” อะไรซัมติง ความรู้สึกเบื้องลึกมันจะทำให้เรารู้สึก “กลัว” ได้เสมอ เรื่องการตรวจสายตาก็คงไม่ต่างกัน

คราวนี้ OPSM ซึ่งเป็นแบรนด์ขายแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย เห็นโอกาสที่จะกระดึ๊บเข้ามาเล่นกับปัญหานี้ โดยเห็นมุมที่แตกต่างว่าไม่เห็นจำเป็นที่เด็กจะต้องออกนอกบ้านไปตรวจ เพียงแค่ใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆนี่ก็ได้

ถ้าดูในหนังก็คงจะเห็นฉากพ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง พี่แกก็ใช้วิธีนี้แหละครับ แทรกเข้าไปแบบเนียนๆ ด้วยการทำหนังสือนิทานก่อนนอนที่มีเรื่องราวของ Penny หนูน้อยผู้มีความพยายามอย่างสูงที่จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดให้ได้ มีการแทรกเนื้อเรื่องการล่าสมบัติ ไขปริศนาบลาๆๆ โดยที่ซ่อนบททดสอบสายตาของเด็กๆเข้าไปด้วย โดยจะต้องเคลียร์มิชชั่นที่ให้ไว้ซึ่งเป็นการทดสอบสายตา ถ้าเคลียร์ได้ก็แสดงว่าสายตาปกติ (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ)

ด้วยความที่งบประมาณจำกัด แคมเปญหนักสือหลอกเด็กนี้จึงถูกผลิตขึ่้นมาเพียง 400 เล่ม ในขณะที่มีเด็กมากถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหาทางด้านสายตา แคมเปญนี้จึงตั้งเป้าหมายว่าหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการส่งต่อไปยังคุณแม่ท่านอื่นเช่นกัน และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ ในช่วง 4 เดือนของการเริ่มแคมเปญ หนังสือทั้ง 400 ร้อยเล่มได้เข้าไปโลดแล่นในความคิดของเด็กๆมากกว่า 2,500 คน และจากผลลัพธ์ที่น่าสนใจในครั้งแรกก็ส่งผลไปยังผลลัพธ์ที่ 2 คือ OPSM ตั้งใจว่าจะทำหนังสือแบบนี้แจกจ่ายไปยังออลเตรเลียและนิวซีเลนด์ 300,000 เล่มแบบฟรีๆ!!

Advertising Agency: SAATCHI & SAATCHI Sydney, AUSTRALIA

Tagged , , , , , , , , , , , , , ,

Neurobix Foundation: Remember me

Remember me

ลองคิดกันเล่นๆนะครับว่าถ้าสมมติวันหนึ่ง ใครสักคนในบ้านเราเกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์ขึ้นมา คุณจัดการยังไง? คุณจะพาเขาไปรักษาที่ไหน คุณจะล็อคบ้านเพื่อตัดปัญหาไม่ให้เขาออกไปเพ่นพ่านนอกบ้านเลยมั้ย แล้วจิตใจของเขาละ คุณทนเห็นเขาถูกขังอยู่ในบ้านทั้งวันทั้งคืนได้มั้ย? ซึ่งผมเชื่อว่าคุณคงไม่อยากให้เป็นแบบนั้นหรอก เพียงแต่คุณไม่มีทางเลือก

น่าเสียดายที่ในประเทศโคลอมเบียมีคนป่วยเป็นอัลไซเมอร์มากกว่า 300,000 ครอบครัว และวิธีการแก้ไขปัญหาการพลัดหลงก็คงไม่ได้แตกต่างจากที่ผมว่าไว้ข้างบนใช่ไหมครับ? ช่างน่าเศร้าจริงๆ

แต่อย่าเพิ่งหมดหวังไปครับ ที่ผมเลือกเอาประเด็นอะไรซักอย่างขึ้นมาเขียนบล็อกก็เพราะเชื่อว่ามันพอจะมีวิธีการแก้ไขบางอย่างได้ เหมือนกับเคสนี้ครับ

Neurobix Foundation ร่วมกับ Ogilvy and Mather, Bogota, Colombia ได้เกิดความคิดว่ามันน่าจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่านี้ คือการปล่อยให้ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ได้ออกไปเดินเล่นนอกบ้านได้โดยที่ลูกหลานไม่ต้องห่วงว่าจะพลัดหลงหรือจำทางกลับบ้านไม่ได้ แคมเปญนี้เริ่มต้นที่การสร้างสายคาดหน้าอก ทำหน้าที่วัดอัตราการเต้นหัวใจของผู้ป่วย เชื่อมต่อไปยัง Application ที่สามารถระบุตำแหน่งผู้ป่วยได้ว่าอยู่ที่ไหน

การทำงานของมันไม่ซับซ้อนเลยครับ ลองนึกถึงเวลาเราหลงทางดูครับ ว่าเราจะรู้สึกยังไง เราคงตกใจ หวาดกลัว วิตกไปต่างๆนาๆ สำหรับผู้ป่วยอัลไซเมอร์ก็ไม่ต่างกันครับ เวลาที่เขาหลงทางก็จะมีอาการเดียวกันกับคนปกติ และความวิตกกังวลนี้จะไปกระตุ้นให้การทำงานของหัวใจทำงานหนักขึ้น อัตราการเต้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมันเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่งที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจจะหลงทาง Application นี้ก็จะแจ้งเตือนผ่านมือถือของลูกหลานในทันที โดยมีทางเลือกว่าจะโทรไปก็ได้ หรือจะแสดงตำแหน่งของผู้ป่วยก็ได้ เพียงเท่านี้ปัญหาที่เราคิดมากันตลอดอาจจะแก้ไขได้เพียงการพลิกแพลงเทคโนโลยีเล็กน้อย โดยที่ยังไม่ทิ้งความเป็นมนุษย์ไว้เบื้องหลัง

ไม่รู้ว่าแคมเปญนี้ได้ผลเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ดูแล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะแก้ปัญหาได้

แต่สิ่งที่ผมอยากให้ดูนอกเหนือไปจากวิธีการแก้ไขปัญหาคือวิธีการมองปัญหาครับ แคมเปญนี้ทำ Execution ได้ดีมาก ซึ่งเขาอยากจะสื่อว่า “มีบางสิ่งบางอย่างที่สมองทำไม่ได้ แต่หัวใจทำได้” แล้วแคมเปญนี้ก็ตีโจทย์แตกแหลกกระจุยเลยครับ นับถือ นับถือ

Advertising Agency: Ogilvy and Mather, Bogota, Colombia

Tagged , , , , , , , , , , , , ,

Lifebuoy: Jump Pump

Lifebuoy Jump Pump

India’s mid-day meal scheme feeds millions of hungry school children every day. But eating with unclean hands spreads diseases like diarrhoea. It is important that children wash their hands with soap before eating.

Access to soap is easy. But, unfortunately, old & heavy hand-operated pumps are the only way to access water in rural schools. Young children find these pumps almost impossible to operate, thus staying away from washing hands.

Our challenge was to make these hand-pumps easier to use. We decided to transform these hand-pumps into a fun activity. A specially crafted rocking horse was installed onto the handles of each these hand pumps in schools — turning them into “Jump Pumps”.

Jump-pumps are being installed across 1500 schools in rural India between April-May 2014

Advertising AgencyGeometry Global / Ogilvy, India

Tagged , , , , , , , , ,