Category Archives: Charity

City of Cape Town: Help the homeless this winter

Help the homeless this winter1

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ จะบอกว่าเป็นแคมเปญก็คงไม่เชิงครับ เพราะเหมือนทำขึ้นเพื่อเป็นช่องทางการระดมเงินบริจาค โดยที่ไม่มีอีเวนท์เพื่อสร้างการตอบโต้ไปมาระหว่างคนกับคนซักเท่าไหร่ครับ แต่ผมเห็นว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ เลยเอามาให้ดูกันครับ

งานชิ้นนี้เกิดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ครับ ซึ่งถ้าพูดถึงเมืองนี้เมื่อไหร่ จะนึกถึง “คนไร้บ้าน” (มีอีกแคมเปญที่ชื่อว่า The street store ก็เกิดขึ้นที่เมืองนี้หลายครั้ง) ขอเกริ่นก่อนว่าเมืองเคปทาวนท์เป็นเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะฉะนั้นจะได้เห็นคนรวยคนจนเดินปะปนกันไปหมด ซึ่งก็จะรวมถึงคนไร้บ้านด้วย……ผมกำลังพูดถึงคนไร้บ้านกว่า 7,000 คนที่กระจายตัวไปอยู่ตามมุมถนนครับ

ปัญหามันมีอยู่ว่า…………..เมื่อถึงหน้าหนาว เราทุกคนก็คงรู้ว่ามันหนาวขนาดไหน (ให้นึกถึงปีที่เมืองไทยมันหนาว แล้วจินตนาการตามนะครับ) ขนาดเราได้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ นอนในบ้านสบายๆ เราก็ว่ายังหนาวเลย แต่ลองนึกถึงคนไร้บ้านดูสิครับว่าในแต่ละคืนแต่ละวันเค้าจะต้องเจอกับอากาศช่วงกลางคืนที่หนาวกว่าปกติ ไม่ว่าเสื้อจะหนาขนาดไหนก็เอาไม่อยู่ครับ

ถ้าคิดว่านี่โหดแล้วผมบอกได้เลยว่ายังครับ เพราะที่เมืองเคปทาวน์ ฝนแม่งเสือกตกช่วงหน้าหนาวอีก! พ่อคุณเอ้ย แค่หนาวธรรมดาก็จะตายอยู่แล้ว นี้แถมฝนมาด้วย ใครเจอแบบนี้เข้าไปก็คงสั่นเหมือนแผ่นดินไหวพร้อมกับอาฟเตอร์ช็อคแบบรัวๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้วอะ

ทางทีมงานจึงได้รวมสรรพกำลังออกมาทำ “ข้อความโฆษณา” ที่คนทั่วไปจะเห็นได้เฉพาะตอนฝนตกเท่านั้น!! วิธีการเค้าง่ายมากครับ ด้วยการใช้สีสเปรย์กันน้ำบวกกับตัวสกรีนเทมเพลต แล้วเอาไปพ่นลงบนท้องถนนที่มีคนเดินผ่านเยอะๆ เมื่อฝนตก ข้อความนั้นก็จะแสดงขึ้นมาครับ “มาช่วยให้คนไร้บ้านออกจากถนนในช่วงหน้าหนาวนี้” พร้อมกับรูปเงาคนไร้บ้านและข้อความให้ส่ง SMS บริจาคเพื่อนำเงินไปสร้างที่พักให้กับคนไร้บ้านในเมืองเคปทาวน์

เอาจริงๆเลยนะครับ การใช้สีสเปรย์กันน้ำพ่นลงบนพื้นเพื่อส่งข้อความอะไรบางอย่าง เป็นวิธีที่หลายบริษัททั่วๆไปใช้สำหรับการขายของ และมีเคสให้ดูเยอะมาก ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย แต่สำหรับแคมเปญนี้ก็เพิ่งได้เห็นการนำคอนเซปต์แบบนี้มาใช้กับงานด้านสังคม ซึ่งถือเป็นแคมเปญแรกตั้งแต่ที่ทำบล็อกมา ซึ่งดูแล้วก็น่าสนใจดีครับ ทำออกมาได้ดูอบอุ่นและมีความหวัง ถือได้ว่าเป็นสีสันและความงดงามหนึ่งบนท้องถนนที่ทำให้เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตก็ได้นะครับ 

Help the homeless this winter2 Help the homeless this winter3 Help the homeless this winter4 Help the homeless this winter5

Advertising Agency: King James Group, Cape Town, South Africa

Tagged , , , , , , , , ,

Beat Bowel Cancer Aotearoa: Bums Are Full Of Surprises

Bums Are Full Of Surprises1

มาอีกแล้วครับ สำหรับแคมเปญฮาๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าพระเอกของแคมเปญนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพหรือวิดีโอเครับ แต่มันอยู่ที่ “เสียง”ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ดูวิดีโอแคมเปญนี้ คุณจะไม่เก็ท แล้วคุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแน่นอนครับ

Beat Bowel Cancer Aotearoa องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง Awareness ให้ความรู้ ช่วยเหลือ และทำวิจัยเกี่ยวกับ “มะเร็งลำไส้” ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก อยากจะทำสร้างแคมเปญที่ให้ผู้คนในนิวซีแลนด์หันมาสนใจปัญหามะเร็งลำไส้กันมากขึ้น เพราะจากสถิติพบว่าในจำนวนคนนิวซีแลนด์ประมาณ 4.5 ล้านคน ทุกๆ 1,000 คนจะตรวจพบคนที่เป็นมะเร็งลำไส้เฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 9.3 คน หรือพูดง่ายๆก็คือคนนิวซีแลนด์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้เกือบ 1% คิดแบบกลมๆก็หมายความว่าจะมีคนนิวซีแลนด์เป็นมะเร็งลำไส้ถึง 45,000 คน คร่าชีวิตชาวนิวซีแลนด์มากกว่ามะเร็งเต้านมรวมกับมะเร็งต่อมลูกหมากซะอีก (เริ่มเยอะแล้วใช่มั้ยครับ) เค้าก็เลยคิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้

ถ้าคุณได้ดูวิดีโอเปิดตัวแคมเปญนี้ คุณจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนกางขาอยู่บนรถบรรทุก 2 คัน นายคนนี้ชื่อว่า Jean-Claude Van Damme เป็นนักแสดงชื่อดังที่เก่งด้านหนังบู๊แอคชั่น ซึ่งเค้าถูกจ้างมาเล่นในแคมเปญ The Epic Split เพื่อโชว์แสนยานุภาพของรถบรรทุก Volvo ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ว่ามันเสถียรขนาดกล้าให้นักแสดงคนนี้ขึ้นไปเล่นอะไรพิเรนทร์ๆแบบนี้ได้
แต่สุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะแยกขา 180 องศา ก็มีเสียง “ปี๊ดดดดดดดดดด” ลากยาวออกมา……….. วอทเดอะ!!

Beat Bowel Cancer Aotearoa ได้สร้างเว็บไซท์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งโดยหน้าที่หลักๆของมันแล้ว มันคือเว็บที่เอาไว้ตัดต่อ “เสียงตด” ไปใส่ไว้ในวิดีโออื่นๆ ที่ต้องเป็นเสียงตดก็เพราะว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้จะมีอาการหนึ่งซึ่งผมว่าทุกคนก็น่าจะรู้ซึ่งก็คือ “ควบคุมประตูหลัง” ไม่ค่อยอยู่ ก็อาจจะมีเสียงลมเล็ดลอดออกมาบ้าง กล้อมแกล้มกับพอขมปากขมคอ

แล้วก็โดนกันหมดฮะ เริ่มตั้งแต่วิดีโอแมว การ์ตูน วิดีโอสอนออกกำลังกาย รวมไปถึงวิดีโอดังจากทั่วทั้งมุมโลก แล้วเสียงตดก็มีให้เลือกหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่เสียงตดมด เสียงปืนกล เสียงครกระเบิด ไปจนถึงเสียงเครื่องบินเทคออฟ จะทุ้มจะแหลมจะเบสหนักแค่ไหนก็แล้วแต่จังหวะความคิดสร้างสรรค์ของคุณเลย ซึ่งเมื่อตัดต่อเสร็จ คุณก็สามารถแชร์กับเพื่อนๆบนเฟซบุ๊คหรือแพลตฟอร์มอื่นๆได้

เมื่อเพื่อนของคุณคลิกเข้าไป มันก็จะไปโผล่หน้าวิดีโอที่คุณเพิ่งใส่เสียงตดลงไป แล้วก็จะมีออพชั่นว่าคุณอยากจะบริจาคเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ หรือจะเล่นเอาสนุกเฉยๆก็ไม่ว่ากันครับ ไปลองเล่นกันดูที่ http://www.beatbowelcancer.org.nz/bums-are-full-of-surprises/ ได้เลยนะ

พูดง่ายๆก็คือว่าแคมเปญนี้พยายามที่จะ “แย่งซีน” (Hijack) เหล่าคลิปดังๆทั้งหลาย เพื่อให้คนนิวซีแลนด์มาสนใจเรื่องมะเร็งลำไส้กันมากขึ้นครับ ก็นับได้ว่าเป็นการแย่งซีนที่สร้างสรรค์ และสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ โดยที่ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้เมือยตุ้มกันเลยครับ

เมื่อตะกี้ผมก็ลองเล่นดู อาจจะทำออกมากากๆหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ 😀 (http://www.beatbowelcancer.org.nz/fartbomb/video.php?id=540)

อ้อ! แล้วก็อย่าลืมนะครับ เล่นสนุกได้ แต่ขอให้อย่าลืมประเด็นที่เค้าอยากจะสื่อสารด้วยนะครับ อย่าเล่นจนเพลินเน้ออ

Bums Are Full Of Surprises2 Bums Are Full Of Surprises3

Advertising Agency: Whybin\TBWA, Auckland, New Zealand

Tagged , , , , , , , , , ,

VinziRast: Vinzi Gast

Vinzi Gast1

ถ้าได้อ่านบล็อกของผมมาสักพัก หลายท่านจะเริ่มจับจุดได้ว่าแคมเปญที่ผมเลือกมามักจะมีปัญหาทางด้าน “การสื่อสาร” แทบจะทุกเคส ถ้าลองสังเกตดู มันคือปัญหาเดิมๆที่อยู่คู่โลกมาหลายปีแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วละว่าปัญหามันยังคงมีอยู่ แต่น้อยคนที่สนใจและใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง

Vinzirast องค์กรที่บริหารงานโดยเอกชนในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่ทำหน้าที่จัดหาที่พักข้ามคืน อาหาร ทำความสะอาดเสื้อผ้า ให้กับคนไร้บ้าน กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินที่ได้รับบริจาคน้อยลงทุกปีๆ ในขณะที่จำนวนประชากรคนไร้บ้านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จะทำอย่างไรให้คนหันมาสนใจและบริจาคเงินให้กับ Vinzirast (ให้นึกภาพว่าทุกๆคืนที่ออสเตรียมันหนาวมาก บางครั้งก็เป็นตัวแบ่งแยกความเป็นตายได้เลย)

เป็นคุณ คุณจะช่วย Vinzirast ยังไงครับ? ………… ก่อนจะอ่านต่อ ผมขอให้ลองหยุดคิดสัก 20 วินาที ไม่แน่คุณอาจจะมีวิธีที่ดีกว่าเขาก็ได้ครับ (ผมไม่แน่ใจว่าผมสปอยล์ไปแล้วรึเปล่านะ 555)

และวิธีการที่เขาเลือกใช้ก็คือ สร้าง Page บน Facebook ที่ใช้ชื่อว่า Vinzi Gast (แขกของ Vinzirast)เพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่าในแต่ละวันเค้าจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง เค้าคิดอะไรอยู่ เค้ากินเค้านอนยังไง แล้วสภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่มันเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างแบบ Real-time ให้คนทั่วๆไปอย่างเราได้เห็นว่าพวกเขาแม่งลำบากแค่ไหน (เชิญชมได้ที่ https://www.facebook.com/pages/Vinzi-Gast/252724914886559)

หลักจากที่เกิด Vinzi Gast ได้สักพัก สังคมก็เริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นเรื่องคนไร้บ้านกันอีกครั้ง เกิดเป็นชุมชนออนไลน์ที่คนทั่วๆไปหลายคนเริ่มเข้ามาเสนองานให้ทำ ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ และเสนอความช่วยเหลืออื่นๆอีกมากมาย

แคมเปญนี้ได้รับคำชื่นชมจากสังคม Facefook มากกว่า 4 ล้านครั้ง ได้พื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่า 1 แสนยูโร ได้รับเงินบริจาคเข้า Vinzirast กว่า 200% และที่สำคัญที่สุด ชายไร้บ้านนิรนามผ Vinzi Gast ผู้นี้ก็ได้งานทำและไม่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านอีกต่อไป

น่าเสียดายตรงที่ว่า Vinzi Gast ได้หยุดอัพเดตไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ยังไงก็ยังสามารถเข้าไปย้อนดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนไร้บ้านในออสเตรียได้ครับ

นึกถึงเมืองไทยผมก็เห็นว่าคนไทยมีคนไร้บ้านอยู่ไม่น้อยเลย แถมยังมีข่าวอยู่พักหนึ่งว่าถูกวัยรุ่นรุมทำร้ายจนสาหัส เอาจริงๆผมว่าปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่เล็กนะครับ ถ้าใครมีไอเดียทำแคมเปญหรือวิธีแก้ไขปัญหาก็ลองคอมเมนท์ไว้ดูนะครับ ไม่แน่นะครับ เรื่องดีๆแคมเปญดีๆอาจจะเกิดจากเพจนี้ก็ได้ ถ้าเราร่วมมือกันครับ 😀

Vinzi Gast2 Vinzi Gast3

Advertising Agency :Demner Merlicek & Bergmann, Vienna, Austria

Tagged , , , , , , ,

Harrison’s Fund: I wish my son had cancer

i wish my son has cancer

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ เราพามาดูกันที่อังกฤษครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้บอกตรงๆเลยว่า “แม่งแทบจะไม่มีอะไรเลยนี่หว่า” ทั้งตัวไอเดียและสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่ได้มีอะไรที่ว้าวเลย ที่น่าสนใจก็คงจะมีแต่ถ้อยคำที่ดู “ยุแหย่” ให้เกิดความดราม่า ตรงนี้แหละครับประเด็น!

เรื่องของเรื่องมันเริ่มต้นที่ว่ามีคุณพ่อท่านหนึ่ง เขามาลูกชายอายุ 6 ขวบชื่อว่า Harrison แต่น่าอนิจจาที่ลูกของเขาป่วยเป็นโรค Duchenne muscular dystrophy (DMD) หรือถ้าพูดง่ายๆก็คือโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Duchenne_muscular_dystrophy) ซึ่งความโชคร้ายมันอยู่ตรงที่ว่าโรคนี้ยัง ไม่สามารถรักษาได้ อีกทั้งมีสถิติที่บ่งบอกว่าคนที่เป็นโรคนี้จะต้องเสียชีวิตภายในอายุไม่เกิน 20 ปี

เมื่อคุณพ่อได้ทราบเรื่องดังกล่าว เข้าจึงได้ตั้งมูลนิธิที่ชื่อว่า Harrison’s Fund (ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าได้แรงบันดาลใจมาจากไหน) ทำหน้าที่ระดมเงินบริจาคเพื่อนำมาใช้ในงานวิจัยและรักษาโรค DMD แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่าโรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ถูกค้นพบได้ไม่นาน คนยังไม่รู้จัก การจะไปขอเงินเพื่อทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคใหม่ดูจะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะฉะนั้น คุณพ่อจึงคิดว่าควรจะต้องทำให้โรคนี้เป็นประเด็นที่พูดถึงกันในสังคม

คุณพ่อท่านที่จึงขอให้ ais เอเจนซี่โฆษณาแห่งหนึ่งในลอนดอนช่วยทำแคมเปญให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนมากขึ้น และหน้าตาของแคมเปญก็ออกมาแบบเรียบง่ายมากครับ เพียงแค่ Print ad หนึ่งชิ้นที่มาพร้อมกับข้อความที่ดู “ยุแหย่” ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องอ่าน

“ผมอยากให้ลูกเป็นมะเร็ง”

“แฮริสัน ลูกชายวัย 6 ขวบของผม เขาเป็นโรค DMD เขาเป็นหนึ่งในจำนวน 2,500 คนที่เป็นโรคนี้ทั่วทั้งสหราชอาณาจักร ซึ่งส่วนใหญ่จะตายตอนอายุ 20 ปี ไม่เหมือนกับโรคมะเร็ง เพราะโรคนี้ไม่มีแม้แต่ทางเยียวยาและรักษา อีกทั้งโรคนี้ผู้คนยังไม่ค่อยรู้จักดี จึงทำให้เงินที่มาสนับสนุนวิจัยโรคนี้น้อยนัก ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของผมคือการระดมเงินเพื่อให้เหล่านักวิทยาศาสตร์นำไปใช้ในการวิจัย พวกเขาเริ่มเข้าใกล้สู่การค้นพบแล้ว เพียงแค่ 5 ปอนด์ในมือของท่าน ก็ช่วยให้พวกเขาเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น”

“ร่วมกับหยุดโรค DMD ด้วยการส่งข้อความ STOP13 5£ มาที่ 70070 หรือเข้าไปที่ harrisonfund.com”

ช่างเรียบง่ายและกระแทกอารมณ์ยิ่งนัก ถ้าเป็นคุณ คุณจะช่วยเขามั้ยครับ?

Advertising Agency: ais, London, United Kingdom

Tagged , , , , , , , , ,

World Vision Korea: Children of Fidelity

Children of Fidelity1

ว่ากันว่างานโฆษณาแถบเอเชียจะเก่งมากในเรื่องการทำแคมเปญแนวดราม่า ซึ่งคราวนี้จะพามาดูเคสในเกาหลีใต้กันครับ ดูครั้งแรกก็เล่นเอาน้ำตาซึมเหมือนกันนะฮะ

เริ่มแรกสำหรับแคมเปญนี้เค้าก็จั่วเรื่องขึ้นมาดื้อๆเลยครับ เค้าบอกว่าจะมีการแคสบทภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Children of Fidelity” โดยมี Producer ชื่อดังนามว่า คิมโบซอง มาเป็นกรรมการตัดสินครับ และแน่นอนว่าถ้าชื่อเรื่องมาแบบนี้ เค้าต้องแคสเด็กแน่นอนครับ

และบทที่แคสก็แสนจะประหลาด อย่างเช่น ให้เด็กลองดื่มน้ำสกปรก ให้เด็กสนตะพายแบกของหนัก และให้เด็กปีนขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ลที่อยู่สูงถึง 2- 3 เมตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ว่าเหล่าพ่อแม่ที่พาลูกมาก็ต่างหวาดวิตกกับการแคสบทภาพยนตร์ในครั้งนี้

จนกระทั่งการแคสเสร็จสิ้น ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยครับ

“คุณแม่ครับ ผมต้องขอโทษคุณแม่ทุกท่านอย่างสุดซึ้งจริงๆนะครับ วันนี้ เราได้ขอยืมความกล้าหาญของเด็กๆมาถ่ายทอดเรื่องราวที่คนทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่กลับแทบไม่มีใครสนใจ เพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกของพวกเรา”

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องดื่มน้ำที่ไม่สะอาด” ฉาพภาพเด็กแอฟริกันในเคนยา ตักน้ำจากแหล่งน้ำที่……….. ต้องดูเอาเองครับ

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำงานหนัก” ฉายภาพเด็กแอฟริกันจากแทนซาเนียที่กำลังกระเทาะหินเพื่อหาแร่มีค่า

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำเรื่องที่เสี่ยงอันตราย” ฉายภาพเด็กสาวชาวกานาอายุ 9 ปี ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้

มีสถิติที่น่าตกใจว่าทุกๆ 20 วินาทีจะมีเด็กตายหนึ่งคน อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารและโรคบิด

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องทุกทรมานจากความหิวโหย”

หลักจากนั้นก็ฉายภาพเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในแอฟริกาที่ผมเห็นครั้งแรกแล้วก็รู้สึกตกใจมาก มันมีประโยคหนึ่งที่ผมอ่านแล้วแทบจุกอกคือ “นี่คือลูกอมชิ้นแรกในชีวิตของเขา ที่มีค่ามากกว่าเพชรพลอยทั้งหลาย”

เอาเป็นว่า แคมเปญนี้มันมีความน่าสนใจตรงที่ว่าได้สื่อสารกับคนทั้งสองวัยคือทั้งตัวพ่อแม่และตัวเด็กเอง ซึ่งผมมองว่าทรงคุณค่ามากกว่าแค่การทำแคมเปญเชิงดราม่าเรียกน้ำตาแล้วสุดท้ายก็ระดมทุน สิ่งที่อแคมเปญนี้ไปได้ไกลกว่าคือการปลูกฝังสำนึกให้กับตัวเด็ก ให้พวกเขาได้รู้ตัวว่ายังมีเพื่อนในวัยเดียวกันกับพวกเขาที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง

ก็นั่นแหละครับ พ่อแม่ก็น้ำตาแตกกันไปทั่วหน้า แล้วคุณละครับ รู้สึกยังไง?

[อย่าลืมเปิดซับด้วยนะครับ หรือถ้าใครคล่องเกาหลีก็ไม่ว่ากันครับ]

Children of Fidelity2 Children of Fidelity3 Children of Fidelity4 Children of Fidelity5 Children of Fidelity6 Children of Fidelity7 Children of Fidelity8 Children of Fidelity9

Advertising Agency: AdQUA interactive, Seoul, South Korea

Tagged , , , , , , , , ,

Unicef: The Rolypoly Donation box

UNICEF Rolypoly donation box3

มาอีกแล้วสำหรับแคมเปญแนว Fun Theory เพียงแต่รอบนี้อาจจะต้องรอนานหน่อยกว่าจะเห็นผล

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากเรื่องที่เราทั่วๆไปคงรู้กันอยู่แล้วครับ นั่นก็คือเรื่องปัญหาความอดอยากและโรคระบาดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีเด็กๆนับล้านชีวิตในประเทศเหล่านี้ได้เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ทั้งๆที่เงินไม่กี่เหรียญในมือของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถพลิกความเป็นตายได้เลยทีเดียว

แคมเปญนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเด็กเหล่านั้นครับ โดยแคมเปญจริงๆเค้าทำที่เกาหลีใต้ และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่ทำตุ๊กตาล้ม(ที่ยังไม่)ลุก มาวางไว้ตามที่สาธารณะ โดยเชิญชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยการหยอดเหรียญถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ตุ๊กตายืนขึ้นมาได้ ตรงกับสโลแกนของแคมเปญนี้ที่ว่า “Providing just a little help could save their lives and give them the strengh to stand up on their own”

แคมเปญนี้จะเป็นยังไง เชิญรับชมครับ 😀

UNICEF Rolypoly donation box2 UNICEF Rolypoly donation box4 UNICEF Rolypoly donation box5

Advertising Agency: Daehong Communications Inc, Seoul, Korea

Tagged , , , , , , , , , ,

Mimi Foundation: If only a second

If only a sec3

ถ้าวันนี้ผมขอให้คุณลองดีไซน์แคมเปญที่ทำเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง เป็นคุณ คุณอยากให้มันออกมาหน้าตาเป็นยังไงครับ?

ถ้าเป็นผม ผมวาดภาพเอาไว้ว่ามันจะต้องวาดภาพออกมาดราม่าแน่ๆ และเรื่องราวก็คงมาในธีม “ลมหายใจสุดท้ายที่สวยงาม” ด้วยการเชิญเหล่าผู้ป่วยมาแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ทำ Photobook ขายแล้วก็ระดมทุนเพื่อไปช่วยผู้ป่วยคนอื่นๆ แน่นอนครับว่าภาพที่ออกมาแม้จะดูสวยงามแต่ก็คงหดหู่ชอบกล

แต่แคมเปญนี้มาเหนือกว่าภาพในจินตนาการของผมหลายเท่านัก จนผมบอกได้เต็มปากเลยว่าแคมเปญนี้เป็นแคมเปญที่ผมชอบมากที่สุดในงาน Cannes Lion 2014 แม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่ได้ Gold ก็เถอะ

เรื่องมันก็เหมือนที่ผมเกริ่นมาก่อนนั่นแหละครับ ถ้าจะทำแนวดราม่ามันก็คงไม่ผิดหรอก แต่ทำแล้วจะได้อะไรนี่สิเป็นคำถามสำคัญ

คือถ้าทำเปนแนวดราม่า ผลสุดท้ายลองนึกถึงผู้ป่วยว่าเค้าจะรู้สึกยังไง “ฉันสวยจัง ฉันพอใจ นี่คือความสุขสุดท้ายของฉัน แล้วฉันก็จะตายอย่างสงบ” ฟังดูเศร้าโคตรๆ แล้วเราต้องการแค่นี้เหรอ

แคมเปญนี้เพียงแค่พลิกมุมมองนิดหน่อยก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมากครับ

มันมีคำกล่าวหนึ่งที่พูดถึงโมเมนท์ “Carefree” ซึ่งมันแปลเป็นไทยค่อยข้างยาก แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่ามันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้กังวล เหมือนคำโฆษณาผ้าอนามันยังไงยังงั้นและแหละ ไอ้โมเมนท์ที่ว่าเนี่ยมันสร้างผลเชิงบวกทางอารมณ์ให้กับผู้ป่วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ป่วยอารมณ์ดี โอกาสที่จะรักษามะเร็งหายก็จะเพิ่มมากขึ้น

เค้าก็เลยจับเอาผู้ป่วยมาตั้งไว้หน้ากระจกสองด้าน และขอให้พวกเขาหลับตา จากนั้นทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมก็ละเลงกันเลยครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น ผู่ป่วยเค้าก็คงคาดหวังว่าเมื่อฉันลืมตาแล้วฉันจะต้องสวยที่สุดในชีวิต แต่มันหักมุมตรงที่ว่าแคมเปญนี้เค้าไม่เอาครับ เค้ากลับแต่งหน้าทำผมให้ผู้ป่วยดูประหลาด ดูตลก ดูบ้าๆบอๆ

จนกระทั่งทีมงานขอให้พวกเขาลืมตา โมเมนท์แรกที่เค้าเห็นตัวเองก็ประหลาดใจสุดๆ เพราะผิดจากความคาดหวังมากๆ โดยทุกๆอิริยาบถก็จะถูกช่างภาพในอีกด้านของกระจกถ่ายภาพเก็บไว้ โมเมนท์นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า “Carefree” เพียงแต่ไม่กี่วินาที ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมความเจ็บป่วยไปชั่วขณะ นี่แหละครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อแคมเปญว่า If only a second

ส่วนภาพที่ถ่ายไว้ก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ไปทำปุ๋ยนะครับ เค้าเอามาจัดทำเป็นนิทรรศการพร้อมกับ Photobook เพื่อระดมทุนเข้ามูลนิธิ Mimi Foundation เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อๆไป

เห็นไหมครับว่าเพียงแค่พลิกมุมความคิดนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ได้มหาศาลมาก ผมว่ายากนะสำหรับการทำแคมเปญใดแคมเปญหนึ่งที่มีส่วนผสมของความดราม่าและฟีลกู้ดเอาไว้ด้วยกัน ดูกี่ครั้งก็ซึ้ง 🙂

Advertising Agency: Leo Burnett, Paris, France

If only a sec2 If only a sec4 If only a sec5 If only a sec1

Photo credit: adoftheworld

 

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

Brazilian Association of Organ Transplant: Firefighter and Lifeguard

BAOT1 BAOT2

You can do the same. Become an organ donor and save up to 7 lives. Tell your family.

 

Advertising Agency: Leo Burnett Tailor Made, Sao Paulo, Brazil

Tagged , , , , , , , , , ,

Caritas: Give warmth

give-warmth

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นในช่วงหน้าหนาว ในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ลองจินตนาการว่าในช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมาในบ้านเราที่เราว่ายังไม่หนาวมาก เราก็ยังต้องหาเสื้อหนาๆมาใส่กันอยู่ดี ถ้าบ้านเรายังหนาวขนาดนี้ ที่ยุโรปเราคงไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าหนาวจนเข้ากระดูกราวกับเป็นเกาต์กันเลยทีเดียว

สำหรับคนทั่วไปคงไม่เท่าไหร่ครับ หาเสื้อหนาๆใส่ รีบเข้าบ้านเปิดฮีทเตอร์สักพักก็คงอุ่น แต่สำหรับ “คนไร้บ้าน” นับพันชีวิตที่กระจายอยู่ตามมุมต่างๆ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับพวกเขาเลย เพราะพวกเขาจะต้องหาที่กำบังลม ซึ่งส่วนใหญ่มันจะอยู่ในสถานที่ปิด เช่น ตามใต้สะพาน สถานีรถไฟ ถ้าว่ารันทดแล้วก็คงต้องบอกว่ายังครับ เพราะยังต้องคอยเก็บของย้ายไปที่อื่นเพราะมีตำรวจตามมาไล่อีกด้วย

Caritas องค์กรที่ทำงานด้านความยากจนและการกดขี่ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลกจึงเล็งเห็นว่าปัญหานี้มันไม่ใช่เล่นๆแล้ว เขาจึงได้ทำแคมเปญเล็กๆที่ต้องการจะให้ชาวเวียนนาได้สัมผัสประสบการณ์ของความหนาวเหน็บแบบคนไร้บ้านดูบ้าง โดยการดัดแปลงป้ายโฆษณาตรงป้ายรอรถเมล์ให้กลายเป็นฮีทเตอร์ขนาดย่อม ซึ่งส่วนประกอบหลักมันก็คือหลอดไฟที่ให้ความร้อนสูง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเล็กน้อยว่าจะต้องหยอดเงิน 1 ยูโรเพื่อแลกกับความอบอุ่นประมาณ 2-3 นาที แล้วลองจินตนาการดูสิครับว่าถ้าคนไร้บ้านได้รับความอบอุ่นในช่วงอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ พวกเขาจะมีความสุขมากขึ้นอีกสักเพียงไหน

สิ่งที่แคมเปญนี้ต้องการจะสื่อคือ “เงินเพียงเล็กน้อยในมือของท่าน สามารถช่วยให้ความอบอุ่นกับคนไร้บ้านได้” ซึ่งจุดประสงค์ก็คือต้องการให้คนบริจาคเงินเข้า Caritas เพื่อไปช่วยกลุ่มคนไร้บ้านเหล่านี้ หลังจากที่ได้สัมผัสประสบการณ์ความหนาวเหน็บมาสักพัก คุณคงจะเข้ามากขึ้นว่าการนอนข้างถนนมันทรมานมาก และคุณก็คงไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้แน่ๆ

แคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากสื่อเยอะมาก ทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อโซเชียลมีเดีย ไม่ใช่เฉพาะในออสเตรียเท่านั้น มันลามไปทั่วโลกเลยครับ

แม้แคมเปญนี้ดูจะปรับใช้กับเมืองไทยยาก โดยเฉพาะกับเรื่องคนไร้บ้าน เราก็อาจจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นกลุ่มชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเขาที่เขาต้องเผชิญภัยหนาวในทุกๆปีก็ได้ครับ และเมสเสจที่ต้องการจะสื่อก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก

Advertising Agency: DDB Tribal, Vienna, Austria

Give warmth2 Give warmth3

Tagged , , , , , , , , , ,