Category Archives: Advertising

Association of Communication Companies Belgium: Sell the Jobless

sell the jobless

ลองจินตนาการดูนะครับ สมมติว่าวันนี้คุณเป็นคนที่ตกงานมา 5 ปีแล้ว ไปสมัครงานที่ไหนเค้าก็ไม่รับ เงินเก็บที่มีอยู่ก็ใกล้จะหมดแล้ว แล้วจู่ๆวันนึงก็มีคนยื่นมือแล้วบอกว่าจะช่วยให้คุณหางานทำ คุณจะรู้สึกยังไง?

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเบลเยี่ยมครับ มีสมาคมหนึ่งที่ชื่อว่า Association of Communication Companies (ACC) เค้าอยากจะทำแคมเปญ “Sell the jobless” (“ขาย” คนตกงาน) ด้วยการเฟ้นหานักโฆษณามือฉมัง โดยเริ่มต้นจากการเฟ้นหา Copy writer ซึ่งโดยปกติแล้ว งานโฆษณาที่วไปก็มักมักจะแต่ขายมือถือ รถยนต์รุ่นใหม่ หรือสเปรย์ฉีดเต่า แต่ในแคมเปญนี้เค้าจะได้ “ขาย” สิ่งที่มีความหมายมากกว่า นั่นก็คือ “คนตกงาน” ครับ จะทำยังไงคนตกงานให้เค้าได้งาน ด้วยทักษะที่ Copy writer ถนัดที่สุด “การใช้คำ”

(ลองนึกถึงว่าเวลาจะทำโปสเตอร์หนึ่งชิ้น ในวงการโฆษณาจะมีคนที่ทำชิ้นงานอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1. Art Director คนที่ทำหน้าที่คิด”ภาพ” และ 2. Copy writer คนที่ทำหน้าที่คิด”คำ” เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นต้องดูอันนี้ครับ http://www.multiple-owners.com/design-2/graph-design/copywriter-vs-art-director/)

แคมเปญนี้ริเริ่มกันคนตกงาน 14 คน โดยที่มี Copy writer เขียนจดหมายขายคนตกงานมากถึง 594 ฉบับ คนตกงานคนไหนที่ถูกบริษัทเรียกสัมภาษณ์ Copy writer คนที่เขียนจดหมายแนะนำให้ก็จะได้รับการจ้างงานจากสมาคมเช่นกัน

นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราได้เห็นการจับคู่ที่ดูเหมาะเจาะ คนตกงานก็จะได้งาน ส่วน Copy writer ก็จะได้งาน ส่วนสมาคมก็ได้นักโฆษณามือดี เรียกได้ว่าวิน-วิน วินแล้ววินอีก วินวินแบบแฮปปี้ไลฟ์กันเลยทีเดียว

sell the jobless2

sell the jobless3

Advertising Agency: Happiness Brussels, Belgium

Tagged , , , , , , , ,

City of Cape Town: Help the homeless this winter

Help the homeless this winter1

สำหรับแคมเปญชิ้นนี้ จะบอกว่าเป็นแคมเปญก็คงไม่เชิงครับ เพราะเหมือนทำขึ้นเพื่อเป็นช่องทางการระดมเงินบริจาค โดยที่ไม่มีอีเวนท์เพื่อสร้างการตอบโต้ไปมาระหว่างคนกับคนซักเท่าไหร่ครับ แต่ผมเห็นว่าเป็นวิธีการที่น่าสนใจ เลยเอามาให้ดูกันครับ

งานชิ้นนี้เกิดขึ้นที่เมืองเคปทาวน์ แอฟริกาใต้ครับ ซึ่งถ้าพูดถึงเมืองนี้เมื่อไหร่ จะนึกถึง “คนไร้บ้าน” (มีอีกแคมเปญที่ชื่อว่า The street store ก็เกิดขึ้นที่เมืองนี้หลายครั้ง) ขอเกริ่นก่อนว่าเมืองเคปทาวนท์เป็นเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะฉะนั้นจะได้เห็นคนรวยคนจนเดินปะปนกันไปหมด ซึ่งก็จะรวมถึงคนไร้บ้านด้วย……ผมกำลังพูดถึงคนไร้บ้านกว่า 7,000 คนที่กระจายตัวไปอยู่ตามมุมถนนครับ

ปัญหามันมีอยู่ว่า…………..เมื่อถึงหน้าหนาว เราทุกคนก็คงรู้ว่ามันหนาวขนาดไหน (ให้นึกถึงปีที่เมืองไทยมันหนาว แล้วจินตนาการตามนะครับ) ขนาดเราได้ใส่เสื้อผ้าหนาๆ นอนในบ้านสบายๆ เราก็ว่ายังหนาวเลย แต่ลองนึกถึงคนไร้บ้านดูสิครับว่าในแต่ละคืนแต่ละวันเค้าจะต้องเจอกับอากาศช่วงกลางคืนที่หนาวกว่าปกติ ไม่ว่าเสื้อจะหนาขนาดไหนก็เอาไม่อยู่ครับ

ถ้าคิดว่านี่โหดแล้วผมบอกได้เลยว่ายังครับ เพราะที่เมืองเคปทาวน์ ฝนแม่งเสือกตกช่วงหน้าหนาวอีก! พ่อคุณเอ้ย แค่หนาวธรรมดาก็จะตายอยู่แล้ว นี้แถมฝนมาด้วย ใครเจอแบบนี้เข้าไปก็คงสั่นเหมือนแผ่นดินไหวพร้อมกับอาฟเตอร์ช็อคแบบรัวๆ แค่คิดก็ขนลุกแล้วอะ

ทางทีมงานจึงได้รวมสรรพกำลังออกมาทำ “ข้อความโฆษณา” ที่คนทั่วไปจะเห็นได้เฉพาะตอนฝนตกเท่านั้น!! วิธีการเค้าง่ายมากครับ ด้วยการใช้สีสเปรย์กันน้ำบวกกับตัวสกรีนเทมเพลต แล้วเอาไปพ่นลงบนท้องถนนที่มีคนเดินผ่านเยอะๆ เมื่อฝนตก ข้อความนั้นก็จะแสดงขึ้นมาครับ “มาช่วยให้คนไร้บ้านออกจากถนนในช่วงหน้าหนาวนี้” พร้อมกับรูปเงาคนไร้บ้านและข้อความให้ส่ง SMS บริจาคเพื่อนำเงินไปสร้างที่พักให้กับคนไร้บ้านในเมืองเคปทาวน์

เอาจริงๆเลยนะครับ การใช้สีสเปรย์กันน้ำพ่นลงบนพื้นเพื่อส่งข้อความอะไรบางอย่าง เป็นวิธีที่หลายบริษัททั่วๆไปใช้สำหรับการขายของ และมีเคสให้ดูเยอะมาก ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย แต่สำหรับแคมเปญนี้ก็เพิ่งได้เห็นการนำคอนเซปต์แบบนี้มาใช้กับงานด้านสังคม ซึ่งถือเป็นแคมเปญแรกตั้งแต่ที่ทำบล็อกมา ซึ่งดูแล้วก็น่าสนใจดีครับ ทำออกมาได้ดูอบอุ่นและมีความหวัง ถือได้ว่าเป็นสีสันและความงดงามหนึ่งบนท้องถนนที่ทำให้เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตก็ได้นะครับ 

Help the homeless this winter2 Help the homeless this winter3 Help the homeless this winter4 Help the homeless this winter5

Advertising Agency: King James Group, Cape Town, South Africa

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

Brazilian Association of Organ Transplant: Firefighter and Lifeguard

BAOT1 BAOT2

You can do the same. Become an organ donor and save up to 7 lives. Tell your family.

 

Advertising Agency: Leo Burnett Tailor Made, Sao Paulo, Brazil

Tagged , , , , , , , , , ,

NATURE´S GARDEN: BROKEN LIVER

Broken liver1

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า Hepalive โปรดักส์ไลน์ที่ขายอาหารเสริมบำรุงสุขภาพตับโดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ใหญ่อย่าง Nature’s Garden เค้าได้อ้างงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ว่า แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์แสดงความรู้สึกต่างๆออกมา มันเป็นผลของสารเคมีชนิดหนึ่งในร่างการของเราที่ชื่อว่า Glucocorticoid ซึ่งเจ้าสารเคมีชนิดนี้มันถูกผลิตมาจาก “ตับ” ครับ

ได้ดูแคมเปญครั้งแรกก็แปลกใจและนั่งขำอยู่คนเดียว ใครจะไปคิดละครับว่าอารมณ์รักโลภโกรธหลงของมนุษย์ที่ว่าซับซ้อนนักหนา แม่งจะถูกบงจากการอวัยวะที่เราคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันได้เลย ใครได้ยินก็คงจะหงายเงิบไปตามๆกัน

ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ตับมันควบคุมอารมณ์มนุษย์ทั้งหมดจริงมั้ย หรือทำงานแค่แค่กับบางอารมณ์เท่านั้น เรื่องนี้เราคงไม่ขอตอบนะครับเพราะมันอยู่พ้นวิสัยของเรานัก เอาเป็นว่า สิ่งที่เราเลือกเอามาให้ทุกคนดูก็คือวิธีการสื่อสารที่เค้ากำลังจะบอกว่า “เฮ้ย! ตับก็สำคัญนะมึง” เป็นคุณ คุณจะสื่อสารยังไงครับ?

แคมเปญนี้คิดง่ายมากเลยครับ (ไม่รู้ว่าในขั้นตอนการทำงานมันออกมาง่ายแบบนี้มั้ย) เค้าได้เลือกเอาโมเมนท์ที่คนเราถูกกระตุ้นอารมณ์ได้รุนแรงที่สุดครับ ใช่ครับ “อกหัก”  (Broken Heart) เชื่อว่าใครที่เคยผ่านประสบการณ์รักแบบจบไม่สวยก็คงพยักหน้าไปตามๆกัน แต่ก็อย่างที่บอกครับ “หัวใจ” ไม่ใช่พระเอกของเรื่องนี้ นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Broken Liver” (แปลไทยไม่ได้จริงๆ) ที่เค้าพยายามจะบอกเราว่า ที่มึงรู้สึกเจ็บแบบนี้ก็เพราะ “ตับ” ของมึงนั่นแหละ ที่ใครฟังก็คงงงเต็กไปตามๆกัน

แน่นอนว่าการไปบอกเอาดื้อๆว่าตับนี่แหละที่เป็นตัวกำหนดอารมณ์ มันไม่เวิร์คแน่ๆ แคมเปญนี้จึงได้เลือกเอาบทเพลงมาเป็นตัวสื่อสารแทนครับ โดยเลือกเอาเพลงที่มีคำว่า “Heart” อยู่ทั้งในชื่อและเนื้อร้อง และจับเอาคำว่า “Liver” มาใส่แทนทั้งหมดเลย

แล้วก็ไม่น่าเชื่อนะครับ มันฟังดูเข้ากั๊นเข้ากันยังกับรถติดกับวันศุกร์สิ้นเดือน ฟังแล้วก็เพลินเหลือหลาย แถมแคมเปญนี้ยังรุกเข้าไปในร้านคาราโอเกะ มินิคอนเสิร์ต รวมถึงสื่อทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ลองเข้าไปดูกันได้ที่ www.brokenliver.com

ในส่วนของผลลัพธ์ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะมีลูกค้ากว่า 8 พันคนเข้ามาสมัครพร้อมกับรับตัวอย่างเพลงไปฟังกัน (อาจจะฟังดูน้อย แต่นี่แค่แบรนด์อาหารเสริมบำรุงตับ มันค่อนข้างจะเฉพาะทาง) ยอดขายเพิ่มขึ้น 18% แล้วก็ไต่อันดับจากแบรนด์ที่อยู่ในอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ก็ถือว่าไม่เลวครับ

Advertising Agency: MARURI GREY GUAYAQUIL, ECUADOR

Broken liver2

 

Tagged , , , , , , , , ,

HINDUSTAN UNILEVER: Kan Khajura Tesan

Kan Khajura Tesan

สำหรับแคมเปญนี้ เราย้ายมาดูที่อินเดียกันมั่งครับ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่รัฐพิหารครับ ซึ่งถ้าดูตามขนาดพื้นที่แล้วก็ถือว่าเป็นรัฐหนึ่งที่ใหญ่มากในอินเดียครับ รัฐนี้มีประชากรอยู่ประมาณ 104 ล้านคน แต่ความใหญ่นี้ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในรัฐนี้ดีขึ้นซักเท่าไหร่นัก เพราะรัฐนี้ ไม่มีสื่ออะไรให้รื่นเริงบันเทิงใจทั้งสิ้น สื่อดั้งเดิม (ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์) เข้าถึงประชากรในรัฐนี้ได้เพียง 20 % เท่านั้น

พูดถึงความบันเทิงสำหรับรัฐนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีเงินซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกกันนะครับ แต่เป็นเพราะว่าระบบการจ่ายไฟฟ้าจากส่วนกลางมักจะมาไม่ถึงที่นี่ มีผู้หญิงท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าในแต่ละวันจะมีการตัดไฟวันละประมาณ 6-7 ชั่วโมง ครั้นจะฟังวิทยุ สัญญาณก็ดั๊นไม่ถึงซะอีก แหม่ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันนี่

แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งไปสงสารเค้าครับ เพราะมีสถิติที่บ่งบอกว่าประชากรในรัฐพิหารใช้โทรศัพท์มือถือ (ส่วนใหญ่เป็นแบบ Analog) มากถึง 54 ล้านเครื่อง หรือคิดง่ายๆก็คือครึ่งนึงของทั้งรัฐ (ในขณะที่มีคนดูทีวีเพียง 23 ล้านคน) แล้วพวกเขาก็ใช้งานมันได้คุ้มค่ามาก ตั้งแต่ดูหนังฟังเพลงเล่นเกม

ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงให้คนในรัฐพิหารได้รับความบันเทิงผ่านมือถือดีล่ะครับ…………………………. จับเวลา!

ผมเชื่อว่าคุณน่าจะเริ่มเห็นเค้าลางแล้วนะครับว่าจะจัดการกับปัญหานี้ยังไงดี

HINDUSTAN UNILEVER (แบรนด์ยูนิลีเวอร์นั่นแหละ) เจ้าของ Supply Chain ระดับโลกผู้ซึ่งถือครองแบรนด์ Wheel (ผงซักฟอก) Lifebuoy (สบู่) Ponds White Beauty (เครื่องสำอางค์) Closeup (ยาสีฟัน) และแบรนด์สินค้าอื่นๆที่เป็นรายใหญ่ที่สุดในอินเดีย มองเห็นโอกาสว่านี่แหละ ถ้าเข้าทางทีวีวิทยุไม่ได้ ก็เข้าทางมือถือนี่แหละวะ!

นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ Kan Khajura Tesan หรือ Mobile Radio เอาง่ายๆก็คือออกอากาศรายการวิทยุผ่านมือถือนี่แหละครับ ซึ่งวิธีการของเค้าถือว่าใหญ่มากเลยนะครับ เพราะเขาไปดีลกับผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรวมถึงบริษัททำหนัง รายการเพลง เพื่อนำมาทำคอนเทนท์สำหรับแคมเปญนี้ วิธีการก็ง่ายมากครับ เพียงแค่คุณโทรไปที่ 1800 30000 123 เมื่อโทรติดคุณก็กดปุ่มเลือกรายการ จากนั้นคุณก็วางสาย รอสักพักก็จะมีคนโทรกลับมาพร้อมกับส่งคอนเทนท์ที่คุณเลือกกลับมาให้คุณฟังเป็นเวลา 15 นาที ซึ่งนอกเหนือจากรายการหนังและรายการเพลงแล้ว ก็ยังมีโฆษณากับเรื่องโจ๊กแถมมาด้วย เรียกได้ว่าเหมือนได้ดูรายการทีวียังไงยังงั้นเลย (ถึงตรงนี้ผมก็ยังสงสัยว่าเค้าดูหนังกันยังไงวะ อันนี้ยังไม่เข้าใจจริงๆ)

ทั้งหมดนี้ ฟรี! คุณจะโทรวันละกี่ครั้งก็ได้ ตามใจคุณเลย แลกกับการฟังโฆษณาบ้างเล็กน้อย วิน-วินกันทุกฝ่าย

สำหรับผลลัพธ์สำหรับแคมเปญนี้ในระยะ 6 เดือนของการรันแคมเปญ แคมเปญนี้ก็ครอบคลุมรัฐพิหารไปมากกว่า 60 % มีคนได้ยินโฆษณาของยูนิลีเวอร์มากกว่า 70 ล้านครั้ง ซึ่งถ้าเทียบกับผมตอบแทนในการลงทุนแล้ว การโทรหนึ่งครั้งจะเทียบเท่ากับเงินไม่ถึง 4 เซนต์ด้วยซ้ำ!

นับได้ว่าแคมเปญนี้ถือเป็นการปฏิวัติวงการบันเทิงที่มาแบบเหนือเมฆจริงๆครับ ใครจะไปคิดมือถืออนาล็อกธรรมดาจะสร้างโอกาสให้ความบันเทิงกับชาวพิหารได้มากขนาดนี้ นึกถึงบ้านเราแล้วก็รู้สึกโชคดีขึ้นมาเยอะเลยนะครับ ที่ไม่ต้องลำบากแบบเขา ถือว่าเอาเคสมาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะครับ 🙂

Advertising Agency: LOWE AND PARTNERS WORLDWIDE MUMBAI, INDIA

Media Agency: PHD INDIA MUMBAI, INDIA

Kan Khajura Tesan2 Kan Khajura Tesan3 Kan Khajura Tesan4

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , ,

Buick: No pedestrian, No entry, Traffic light ahead, No trucks, Speed limit

Buick sign1

บอกเลยว่างาน Print ad ชิ้นนี้มันกระแทกใจมาก และปัญหาที่เขาพูดถึงก็อยู่ใกล้ตัวเรามากจริงๆ

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่เมืองจีน มีสถิติบ่งบอกว่า เฉลี่ยทุกๆ 3 นาทีจะมีคนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือระบบขนส่งสาธารณะ และทุกๆ 10 นาทีก็จะมีคนตายจากเหตุการณ์เดียวกัน บางครั้งอาจจะเป็นอุบัติเหตุที่สุดวิสัยจริงๆ แต่ก็อย่างที่รู้กันครับว่าครึ่งต่อครึ่งมันมาจากการไม่เคารพกฎจราจร

แคมเปญนี้จึงได้เชิญ “ผู้สูญเสีย” จากอุบัติเหตุที่เกิดจากการไม่เคารพกฎจราจรดังกล่าว 9 คนมาถือป้ายจราจร ทรงพลังและไม่ต้องอธิบายให้มากความ

Advertising Agency: LOWE CHINA SHANGHAI, CHINA

Buick sign2 Buick sign3 Buick sign4 Buick sign5

Tagged , , , , , , , ,

OPSM: PENNY THE PIRATE

Penny the pirate

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ตามสถิติในออสเตรเลีย มีคุณแม่หลายท่านที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับสุขภาพสายตาของคุณลูกมากถึง 40% ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะเด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับยีนตาบอดสี หรือหนักหน่อยก็อาจจะมีความผิดปกติแบบรุนแรง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือเด็กจะต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที

ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กดูสักครั้งนะครับ ถ้าสมมติว่าคุณแม่ของคุณชวนคุณไปตรวจสายตากับคุณหมอ เป็นคุณจะไปไหม? เก็บคำตอบเอาไว้ในใจครับ ไม่ต้องบอกผม เพราะคุณอาจจะเลือกไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่ก็อย่างที่เรามีความรู้สึกคุ้นเคยกันดีก็คือ เวลาคุณแม่บอกเราว่า “ไปหาหมอ” “ไปตรวจ” อะไรซัมติง ความรู้สึกเบื้องลึกมันจะทำให้เรารู้สึก “กลัว” ได้เสมอ เรื่องการตรวจสายตาก็คงไม่ต่างกัน

คราวนี้ OPSM ซึ่งเป็นแบรนด์ขายแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย เห็นโอกาสที่จะกระดึ๊บเข้ามาเล่นกับปัญหานี้ โดยเห็นมุมที่แตกต่างว่าไม่เห็นจำเป็นที่เด็กจะต้องออกนอกบ้านไปตรวจ เพียงแค่ใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆนี่ก็ได้

ถ้าดูในหนังก็คงจะเห็นฉากพ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง พี่แกก็ใช้วิธีนี้แหละครับ แทรกเข้าไปแบบเนียนๆ ด้วยการทำหนังสือนิทานก่อนนอนที่มีเรื่องราวของ Penny หนูน้อยผู้มีความพยายามอย่างสูงที่จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดให้ได้ มีการแทรกเนื้อเรื่องการล่าสมบัติ ไขปริศนาบลาๆๆ โดยที่ซ่อนบททดสอบสายตาของเด็กๆเข้าไปด้วย โดยจะต้องเคลียร์มิชชั่นที่ให้ไว้ซึ่งเป็นการทดสอบสายตา ถ้าเคลียร์ได้ก็แสดงว่าสายตาปกติ (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ)

ด้วยความที่งบประมาณจำกัด แคมเปญหนักสือหลอกเด็กนี้จึงถูกผลิตขึ่้นมาเพียง 400 เล่ม ในขณะที่มีเด็กมากถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหาทางด้านสายตา แคมเปญนี้จึงตั้งเป้าหมายว่าหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการส่งต่อไปยังคุณแม่ท่านอื่นเช่นกัน และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ ในช่วง 4 เดือนของการเริ่มแคมเปญ หนังสือทั้ง 400 ร้อยเล่มได้เข้าไปโลดแล่นในความคิดของเด็กๆมากกว่า 2,500 คน และจากผลลัพธ์ที่น่าสนใจในครั้งแรกก็ส่งผลไปยังผลลัพธ์ที่ 2 คือ OPSM ตั้งใจว่าจะทำหนังสือแบบนี้แจกจ่ายไปยังออลเตรเลียและนิวซีเลนด์ 300,000 เล่มแบบฟรีๆ!!

Advertising Agency: SAATCHI & SAATCHI Sydney, AUSTRALIA

Tagged , , , , , , , , , , , , , ,

TeatreNeu: Pay per Laugh

pay per laugh

เรื่องมันมีอยู่ว่าในช่วงกลางปีของปีที่แล้ว อุตสาหกรรมด้านความบันเทิงในสเปนต้องเผชิญกับความวิบัติครั้งใหม่เมื่อรัฐบาลได้ตัดสินใจขึ้นภาษีสำหรับโรงหนังโรงละคร 13% (จาก 8% > 21%) ซึ่งก็อย่างที่เข้าใจกันตามหลักเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับภาษีตรงนี้ได้ก็จะต้องผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค และแน่นอนครับ เมื่อค่าตั๋วมันราคาเพิ่มขึ้น 13% คนก็ย่อมมาดูน้อยลง

หรือสำหรับกรณีที่ผู้ประกอบการโรงหนังโรงละครที่ไม่มีทางเลือก และต้องทำเพื่อความอยู่รอด เขาก็จำเป็นต้องลดราคาตั๋วลง 20% ในขณะที่คนสเปนเริ่มหันไปดูหนังทางฝั่งอเมริกามากขึ้นทุกวัน

คราวนี้ก็มีโรงละครหัวใสนามว่า TeatreNeu อยากจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Pay per laugh” แคมเปญที่ให้คุณเข้าชมการแสดงได้ฟรี! แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องจ่ายเงิน 30 เซ็นต์ทุกครั้งที่คุณหัวเราะ (การแสดงก็คงเป็นแนวตลก) โดยมีการติดตั้งระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวใบหน้า ถ้าคุณหัวเราะเมื่อไหร่ก็เท่ากับว่าคุณเสียเงินครับ

และผลแคมเปญก็เป็นไปตามคาดครับ โรงละครสามารถเก็บเงินค่าเข้าชมการแสดงที่ใช้ฐานการนับจำนวนครั้งของการการหัวเราะได้มากกว่าเดิม โดยจำกัดเพดานที่ผู้ชมจะต้องจ่ายไว้ที่ 24 ยูโร (หัวเราะ 80 ครั้ง) โดยเจ้า 24 ยูโรนี้มีราคาสูงกว่าค่าตั๋วปกติถึง 6 ยูโร

นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังได้พื้นที่สื่อไปมหาศาล เรียกแขกได้มากกว่าเดิมถึง 35% อื้อหืออออ ไม่ใช่เล่นๆเลยนะเนี่ย

และที่เจ๋งขึ้นไปอีกคือแคมเปญนี้ยังมีการต่อยอดไปสู่ “Pay per cry” หรือแม้กระทั่ง “Pay per WTF”

จะว่าไปแล้วผมว่ามันก็แฟร์ดีนะ เพราะแคมเปญนี้สามารถวัดคุณภาพของการแสดงได้ด้วย แต่คิดต่อไปอีกนิดนึงว่าถ้าเกิดการแสดงมันเป็นแบบ “ครบรส” แล้วจะปรับให้เข้ากับระบบตรวจจับใบหน้ายังไง ลองคิดเล่นๆว่าถ้าพี่แกเกิดทำได้ขึ้นมาจริงๆ เราคงจ่ายกัน .ูดบานเลยทีเดียว อ่าห์

Advertising Agency: The Cyranos for McCann Worldgroup Europe

pay per laugh3

pay per laugh2

Tagged , , , , , , , , , , ,

Intermarché: Inglorious Fruits and Vegetables

Inglorious Fruits and Vegetables1

ประเดิมงานชิ้นแรกจาก Cannes Lion 2014 ด้วยผลงานชิ้นนี้ครับ “Inglorious Fruits and Vegetables” (ได้รางวัล Gold ในหมวด Promo & Activation)

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่าประเทศในแถบยุโรปเค้ามีแคมเปญรณรงค์ “Eat 5 a day” หรือแปลง่ายๆก็คือ “กินให้ได้วันละ 5 อย่างนะ” ซึ่งแคมเปญนี้เกิดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้คนกินผักผลไม้ 5 ชนิตต่อวัน ซึ่งเค้าวิจัยกันมาว่าการกินผักผลไม้หลายชนิดจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจและมะเร็ง ซึ่งแน่นอนครับว่าประโยชน์จากการกินผักผลไม้วันละ 5 ชนิดจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย

คราวนี้มันมีสถิติโผล่ออกมา ซึ่งบอกว่าในแต่ละปีเรากลับโยนผักผลไม้ทิ้งไป เพราะไม่ถูกขนาด หน้าตาไม่สวย หรือเกิดมาพิกลพิการ (สมควรลาออกจากการเป็นผักผลไม้ซะ) ถึง 300 ล้านตัน!!! ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กแน่ๆ ดังนั้น Intermarché แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่เป็นอันดับสามในฝรั่งเศส เห็นโอกาสที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้กับผักผลไม้ที่แสนเวทนาพวกนี้ด้วยการโปรโมทพวกมันขึ้นมาดื้อๆเลยครับ แถมยังเอาผักผลไม้หน้าตาประหลาดมาเป็นพรีเซนเตอร์อีกต่างหาก แอปเปิลเอย มันฝรั่งเอย ส้มเอย ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์แบบที่ไม่เหมือนใคร และก็คงไม่มีใครอยากจะเหมือนด้วย โดยที่ผลไม้พวกนี้จะถูกนำมาวางขายที่ Intermarché ในราคาที่ถูกกว่าปกติถึง 30% ซึ่งแน่นอนว่าทั้งรูปลักษณ์และราคาแบบนี้ คงจะยากที่จะรอดพ้นสายตาผู้บริโภคอย่างเรา

หรือถ้าใครทำใจกับรูปลักษณ์อันแสนอัปลักษณ์ไม่ได้ ก็ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอย่างเช่นซุปหรือน้ำผลไม้ ซึ่งแน่นอนครับว่ารสชาติมันก็เหมือนกันนั่นแหละ มีแต่คนเราชอบอุปทานไปเอง

และผลของแคมเปญนี้ก็เป็นไปตามคาดครับ ผักผลไม้หน้าตาประหลาดเหล่านี้ถูกขายออกไปอย่างรวดเร็วถึง 1.2 ตันต่อสาขาในระยะเวลาเพียงแค่ 2 วันแรกของการรันแคมเปญ มีลูกค้าเข้ามาที่ Intermarché เพิ่มขึ้น 24% และยังจุดประเด็นการทิ้งขว้างอาหารที่เข้าถึงคนได้มากถึง 13 ล้านคนภายในเดือนแรก และกวาดพื้นที่สื่อไปมหาศาล

Advertising Agency: MARCEL, Paris

Tagged , , , , , , , , , , , ,