Category Archives: Design

National Neurological Institute: Alzheimer’s News Editors

Alzheimer's News Editors1

ครั้งแรกที่ได้ดูแคมเปญนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า “อื้อหือ” เรียบง่ายแต่ล้ำลึกจริงๆ

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศมาซิโดเนีย  แคมเปญนี้เริ่มต้นจากสถาบันประสาทแห่งชาติเค้าอยากจะให้ชาวมาซีโดเนียหันมาสนใจประเด็นเรื่องโรคอัลไซเมอร์กันมากขึ้น อยากให้มาตรวจกันกันตั้งแต่เนิ่นๆก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้ ก็อย่างที่รู้กันครับโรคนี้มันคือโรคความจำเสื่อม แต่จะขอเสริมอีกนิดนึงว่าคนที่เป็นโรคนี้จะจำเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องในอดีตนะพ่อคุณเอ้ย เล่าได้ลึกซะยิ่งกว่าเส้นใยทอละเอียดสิบแปดนาโนเมตร

วิธีคิดของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ ทางทีมงานเค้าก็ได้เข้าไปหากลุ่มผู้ป่วยอัลไซเมอร์จริงๆ แล้วขอให้พวกเค้าเล่า “ข่าว” ที่พวกเค้าจำได้ล่าสุดให้ทีมงานฟัง ซึ่งข่าวที่กลุ่มผู้ป่วยเล่าให้ฟังนั้น ทีมงานก็จะไปค้นหาหนังสือพิมพ์เก่าที่มีข่าวเหล่านั้นอยู่ ตัด แล้วเอามาแปะ ทำเป็นหนังสือพิมพ์เล่มใหม่ จากนั้นทีมงานก็ได้ขอให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในประเทศทั้ง 3 เจ้า เอาหนังสือพิมพ์ฉบับอัลไซเมอร์มาลงไว้ในหน้าแรกในวันอัลไซเมอร์สากล

ลองคิดภาพดูเล่นๆนะครับว่าถ้าสมมติเอามาลงๆทยรัฐหรือเดลินิวส์ จะมีคนไทยเห็นข่าวนี้กี่คน แต่ยังครับ ยังไม่หมด ทางช่องทีวีเค้าก็เล่นด้วย ด้วยการเอาข่าวเก่ามากออกอากาศ อย่างเช่น ข่าวควีนไดอาน่า ข่าว 9/11 ข่าวยานอพอลโล 11 ลงจอดที่ดวงจันทร์ พร้อมกับตบท้ายว่า “ถ้าไม่อยากจำได้แค่เรื่องราวพวกนี้ มึงจงไปตรวจซะ”

ความเจ๋งของแคมเปญนี้น่าสนใจมากครับ เพราะเข้าถึงชาวมาซีโดเนียได้ถึง 68% และมีคนเข้ารับคำปรึกษาเรื่องโรคอัลไซเมอร์มากกว่าเดิมถึง 215% ไม่ใช่เล่นๆเลยนะตัวเธอว์

ก็กลับมาที่คอนเซปต์คลาสสิกสำหรับการทำแคมเปญครับ คือเรื่องของ “การส่งมอบประสบการณ์” แม้แคมเปญนี้จะไม่ได้เน้นสร้างแคมเปญให้ดูอีโม แต่ด้วยช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่มหาศาลที่มาพร้อมกับกิมมิคเจ๋งๆที่ทำให้ชาวมาซีโดเนียมีกระตุก จึงทำให้แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่มีข้อกังขา เพราะอย่างนี้ นี่เองงงงงงง!

Alzheimer's News Editors2 Alzheimer's News Editors3

Alzheimer's News Editors4

Advertising Agency: Publicis, Skopje, Macedonia

Tagged , , , , , , , , ,

ปลูก “ไม้ประแดก” at Ma:D Social Entrepreneurs Hub

20140824_132014

สวัสดีครับทุกท่าน ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเคยไปปลูกข้าวมั้ย ถ้ายังไม่เคย ผมจะชวนทุกคนมาปลูกข้าวกันครับ 🙂 แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณไม่ต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าไปไหนทั้งนั้น เพราะผมจะมาชวนคุณปลูกข้าวที่บ้านของคุณนั่นแหละ จะเป็นบ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดก็ปลูกได้หมดครับ

เมื่อวานนี้ผมได้ไปงานเวิร์คช็อป “ปลูก ไม้ประแดก” ซึ่งงานนี้ผู้จัดตั้งใจทำเป็นแคมเปญใหญ่เลยครับ เป็นงานที่มีแนวคิดว่า เราสามารถปลูกพืชประดับเพื่อตกแต่งบ้านก็ได้ แถมยัง “แดก” ได้ด้วยนะ! ใช่ครับ ไม้ประแดกที่ว่านี่ก็คือ “ข้าว” นี่แหละครับ

ลองนึกภาพดูสิครับว่าสิ่งที่พ่อแม่เราบอกกันนักหนาว่าให้กินข้าวให้หมดจาน หรือแม้แต่กระทั่งสิ่งผู้นำประเทศมักจะบอกกับเราอยู่เสมอว่าข้าวเป็นสมบัติของชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาหลายร้อยปี แต่สุดท้ายคนเมืองธรรมดาอบ่างเราเห็นข้าวมันถูกแพ็คมาเป็น “ถุง” เรียบร้อยแล้ว คำถามของผมก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของข้าวมากแค่ไหน เพียงแค่เราได้เห็นแค่ปลายทางของมัน?

20140824_134733

แคมเปญปลูกไม้ประแดกจึงคิดว่าอยากส่งมอบประสบการณ์ความเป็นชาวนาและศิลปินมาสู่คนเมือง คนที่กินข้าวทุกวันแต่กลับไม่รู้ที่มา ให้พวกเค้าได้สัมผัส ให้พวกเค้าได้รับรู้ถึงความยากลำบากของชาวนา โดยที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมายเลย ขอเพียงแค่มุมหนึ่งในบ้านหรือที่ทำงานของคุณ แล้วลองดูซิว่าพื้นที่เพียงเล็กน้อย คุณจะสามารถรับผิดชอบมันได้มากแค่ไหน?

20140825_105422

แคมเปญนี้จะใช้ผลิตภัณฑ์มาเป็นตัวส่งมอบประสบการณ์ครับ ด้วยการจัดแพ็คเกจที่คุณสามารถนำไปปลูกที่บ้านได้เลย ซึ่งในหนึ่งชุดก็จะมีแผ่นพับบอกรายละเอียดและวิธีการปลูกของข้าวแต่ละสายพันธุ์ ปุ๋ยขี้ค้างคาว ไตรโคเดอมาแบบน้ำ (เชื้อราดีที่เอาไว้แช่เมล็ดข้าวเพื่อป้องกันเชื้อรา)ไตรโคเดอมาแบบผง (ผสมกับดินเพื่อป้องกันเชื้อราในดิน)ถ้วยกระดาษย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (แหล่งอนุบาลพันธุ์ข้าว) ป้ายปัก (บอกชื่อพันธุ์และวันที่เริ่มปลูก) กระถางปลูกข้าว (สูงไม่น้อยกว่า 30 cm และไม่มีรูระบายน้ำ) และสุดท้ายพระเอกของเรา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เราคัดมากับมือ (มีให้เลือก5 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมปทุมเทพ ข้าวก่ำดอ ข้าวลืมผัว ข้าวปะกาอำปิล และข้าวหอมนิล) ซึ่งวันนี้ผมก็ได้เลือกข้าวหอมปทุมเทพมาครับ

20140824_132106

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากการคัดสายพันธุ์ข้าวครับ ซึ่งพี่เค้าบอกว่านี่คือองค์ความรู้ชุดแรกที่เกษตรกรควรจะมี (เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าเราจะต้องกินข้าวพันธุ์ไหน) ซึ่งก็มีหลักการอยู่ว่า จมูกข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีไข่ปลาซิว และหัวกับท้ายเมล็ดจะต้องตรงเสมอกัน ซึ่งเหตุผลที่ต้องคัดพันธุ์ก่อนก็เพราะว่าเราจะเลือกอดัมกับอีฟของข้าวที่จะเอามาไว้ในบ้านเรา การเลือกพันธุ์ที่ดีก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและการขยายพันธุ์มากขึ้น ขอบอกตรงๆเลยว่าแค่ขั้นตอนนี้ก็โคตรยากและใช้สมาธิมาก ใช้เวลากัน 2-3 ชั่วโมง (ในรายละเอียดมีอีกเยอะ ต้องลองเข้าเวิร์คช็อปดูครับ)

อีเวนท์ที่จัดขึ้นจบที่ขั้นตอนนี้ครับ ที่เหลือก็รอให้เหล่า “เกษตรกร” หน้าใหม่ขนชุดปลูกข้าวมินิกลับไปลองปลูกดูที่บ้าน ตั้งกลุ่มรายงานผล อีกสักอาทิตย์นึงคงได้เห็นความก้าวหน้าครับ 🙂

ก็อย่างที่เล่าไปตอนแรกครับ แคมเปญนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นชาวนาได้ถึงในบ้าน เพราะคนเมืองไม่ค่อยรู้ถึงแหล่งที่มาของข้าว แคมเปญนี้จึงเป็นช่องทาง “สื่อสารโดยตรง” ระหว่างผู้ปลูกกับผู้กิน ให้ผู้กินได้มองเห็นถึงคุณค่าและได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ และอาจจะเป็นฐานนำไปสู่การสร้างระบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบการปลูกข้าวในเมืองซึ่งกันและกัน เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง และสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือเราทุกคนก็จะมีส่วนในการช่วยกันรักษาพันธุ์ข้าวดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่รู้กันครับ นโยบายด้านข้าวในระดับชาติมักจะถูกผูกโยงกับเรื่องของตลาด ทำยังไงก็ได้ให้ขายได้เยอะๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิศทางของการผลิตข้าวก็จะถูกแปรเปลี่ยนจากคุณภาพไปสู่ปริมาณ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองก็จะเริ่มหยุดพัฒนาสายพันธุ์และสูญหายไปในที่สุด

ประกอบกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้แทบจะไม่มีใครสนใจไปทำงานภาคการเกษตร ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนรุ่นใหม่อาจจะเผชิญกับวิกฤตทางด้านอาหารครั้งรุนแรงก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แคมเปญนี้กำลังทำอยู่จึงไม่ใช่เพียงแค่ส่งมอบประสบการณ์ชิคๆคูลๆครับ แต่อาจจะไปไกลถึงการกำหนดอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศก็เป็นไปได้นะครับ นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วครับ

(ถ้าท่านไหนสนใจเข้าเวิร์คช็อป “ปลูกไม้ประแดก” ต้องอดใจรอสักนิดนะครับ ได้ข่าวแว่วๆมาว่าจะจัดกลางเดือนหน้าอีกรอบที่เอกมัย แล้วจะมาบอกข่าวอีกทีนะครับ)

Tagged , , , , , , , , , , ,

Nevada Resort Association Environmental Initiative: Light it Up

light it up1

แคมเปญนี้จะออกแนววิทยาศาสตร์หน่อยนะครับ แล้วก็ขอดักไว้ก่อนว่าถ้าอยากจะดูเอาซึ้งๆหรือน้ำตาแตก แคมเปญนี้คงทำไม่ได้นะฮะ

เรื่องมันเกิดที่รัฐ Nevada สหรัฐอเมริกา ถ้าพูดถึงเรัฐ Nevada ปุ๊ป ภาพที่ตามมาก็คงจะเป็น Las Vegas มหานครที่ไม่เคยหลับไหลซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมความบันเทิงแบบครบวงจร ถึงขนาดมีคนบอกว่าถ้ามองจากนอกชั้นบรรยากาศ Las Vegas เป็นเมืองหนึ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากันเลยทีเดียว

แต่ก็นั่นแหละครับ ความสว่างไสวทั้งวันทั้งคืนก็ต้องแลกมากับการบริโภคพลังงานอย่างมหาศาลถึง 146 เมกะวัตต์ต่อปี ถามว่ามากขนาดไหน ในวิดีโอเค้าเทียบว่ามากกว่าเกาะฮ่องกงใช้ทั้งปี 3.5 เท่า (ปี 2013)

นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าหากเราผสมคาร์บอนไดออกไซด์กับ Fluid Electrolyte (รบกวนท่านที่มีความรู้อธิบายคร่าวๆหน่อยครับ) ก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้ แต่คำถามมันติดอยู่ตรงที่ว่าเราจะไปหาคาร์บอนไดออกไซด์ได้ที่ไหน

คำตอบคือ “บุหรี่ไงครับ”

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าเค้าอนุญาตให้สูบบุหรี่ภายในอาคารได้ ไม่ผิดกฎหมาย ทาง Nevada Resort Association จึงริเริ่มแคมเปญ Light it up ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ที่ดักจับควันบุหรี่เพื่อแปลงไปเป็นกระแสไฟฟ้า ซึ่งเค้าบอกว่าบุหรี่ที่ดูดหมดหนึ่งตัวจะให้พลังงานได้ 0.33 เมกะวัตต์ โดยในแต่ละวันจะมีคนสูบบุหรี่ใน Las Vegas ประมาณวันละ 950,000 ตัว นั่นเท่ากับว่าในหนึ่งปีเราจะสามารถผลิตไฟฟ้าจากบุหร่ได้ถึง 11.5 เมกะวัตต์กันเลยทีเดียว (ให้นึกภาพว่าใช้ 146 แต่แบ่งเบาไปได้ 11.5 นั่นเท่ากับว่าต้นทุนของการบริหารจัดการในเมืองนี้จะถูกลงเกือบ 10% ซึ่งในระระยาวถือว่าคุ้มมากๆ)

ก็ถือว่าเป็นแคมเปญแปลกๆที่ไม่ต้องไปจ้ำจี้จ้ำไชบอกว่า “บุหรี่ไม่ดีนะ” โจทย์ของแคมเปญนี้คือการใช้ประโยชน์จากคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว นั่นเท่ากับว่าคนที่สูบบุหรี่เค้าแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเลย

อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ว่าผมสนับสนุนให้สูบบุหรี่เพื่อไปผลิตกระแสไฟฟ้ากันนะครับ ไม่ใช่ว่าดูแคมเปญนี้จบแล้วก็ไปตะบี้ตะบันตะบันสูบ ควันมันคงไปไม่ถึง Las Vegas หรอกนะ

จริงๆแล้วก็น่าเอามาปรับใช้กับเมืองไทยดูมั่งนะ เพราะคนไทยก็สูบบุหรี่ก็ไม่น้อยเลย เพียงแต่ติดที่ว่าส่วนใหญ่เค้าห้ามสูบบุหรี่ในตัวอาคาร คงทำแบบในเคสนี้ไม่ได้ น่าคิดเหมือนกันว่าไหนๆเค้าก็สูบบุหรี่อยู่แล้ว เราจะสร้างประโยชน์จากคนกลุ่มนี้เพื่อเหตุผลทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในวิธีอื่นๆได้หรือไม่

light it up2 light it up3 light it up4 light it up6

Advertising Agency: Miami Ad School, New York, USA

Tagged , , , , , , , , ,

The European Initiative for Media Pluralism: ALTphabet

altphabet

ตั้งแต่เขียนบล็อกมาเกือบ 5 เดือน ยังไม่เคยเจอแคมเปญไหนที่พูดถึงเรื่องเสรีภาพของสื่อเลย จนกระทั่งได้มาเจอแคมเปญนี้ครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปครับ( แถบประเทศที่เรา(อย่างน้อยก็ผมคนนึง)ที่เชื่อว่าเข้มแข็งในประชาธิปไตย แต่ในบางแง่มุมก็อ่อนในเรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน กฎหมายปกป้องสิทธิสื่อมวลชนก็ดูจะบอบบาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ แม้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับแพร่กระจายไปสู้สาธารณชน แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้รัฐเข้ามาจัดการสื่อมวลชนได้ง่ายขึ้น อันไหนไม่ชอบใจก็สั่งปิดสั่งบล็อก

ลองจินตนาการว่าถ้าวันนี้คุณได้กลายเป็นสื่อมวลชน อยู่ในประเทศที่ไม่ค่อยให้เสรีภาพกับสื่อมากนัก และคุณอยากจะต่อสู้กับมัน คุณจะทำยังไง? ลองปิดถนนประท้วงดูมั้ย? หรือล่ารายชื่อเพื่อไปยื่นเรื่องกับผู้มีอำนาจแล้วบอกกับพวกเค้าว่า เฮ้ย กูไม่ยอมนะ? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ขอให้เก็บไว้ในใจครับ

The European Initiative for Media Pluralism (เข้าใจว่าเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธืสื่อโดยเฉพาะ) เค้าก็เลยสร้างแคมเปญเชิงรุกขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำ Petition ครับ ด้วยการสร้างเว็บไซท์ขึ้นมา เว็บไซท์นี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสและแปลงรหัสของภาษาที่ใช้ปุ่ม Alt (พูดง่ายๆก็คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปมันอ่านไม่ออก)

altphabet2

เวลาที่สำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ต้องการจะลงข่าวที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองก็จะใช้รหัสภาษานี้ในการเขียนบทความ ซึ่งก็รวมไปถึงมนุษย์ปุถุชนคนตัวเล็กๆอย่างเรา เวลาจะพูดแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองทีไรเราก็ไม่รู้ว่าจะมีบิ๊กบราเธอร์คอยจับจ้องอยู่หรือเปล่า เพื่อความอุ่นใจ ก็แปลงภาษาให้มันตรวจจับได้ยากขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับแชร์ผ่านเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้ด้วย

ในเชิงผลลัพธ์ แคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆอย่างมาก ทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงโซเชี่ยลมีเดีย โดยที่เค้าเคลมว่าแคมเปญนี้เข้าถึงสายตาผู้ชมมากกว่า 8 ล้านคน ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ จากการที่แทบไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ได้ผลตอบรับขนาดนี้นับได้ว่าไม่ธรรมดาครับ

http://www.altphabet.org/

altphabet3 altphabet4

Advertising Agency: Saatchi & Saatchi, Milan, Italy

Tagged , , , , , , , , ,

Brazilian Association of Organ Transplant: Firefighter and Lifeguard

BAOT1 BAOT2

You can do the same. Become an organ donor and save up to 7 lives. Tell your family.

 

Advertising Agency: Leo Burnett Tailor Made, Sao Paulo, Brazil

Tagged , , , , , , , , , ,

THE SINGAPORE ASSOCIATION FOR THE DEAF: HEARING AIDE

HEARING AIDE2

เรื่องของเรื่องมันมีสถิติที่น่าตกใจมากว่า ทั้งโลกมีผู้พิการทางการได้ยินจำนวนมากที่ไม่ได้ยินเสียงเตือนภัยในช่วงเวลาคับขันที่สุดถึง 360 ล้านคน โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้ การเตือนภัยสึนามิ การเตือนภัยการใช้อาวุธสงครามระหว่างชายแดน และอีกหลายๆเหตุการณ์ ซึ่งส่งผลให้ผู้พิการเหล่านี้ต้องจากโลกไปเพียงเพราะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ผ่านการได้ยินได้

ใช่ครับ! เสียงหวอเตือนภัยพวกนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคนหูหนวก!!

สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศสิงคโปร์จึงมองเห็นว่านี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วละ มันควรจะทำอะไรบางอย่าง นี่จึงเป็นที่มาของแอพลิเคชั่น “HEARING AIDE” แอพลิแคชั่นที่จะช่วยให้ชีวิตของคนหูหนวกง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยมีหลักคิดง่ายมาก ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ยิน เราก็ใช้โทรศัพท์มือถือนี่แหละแทนหูของพวกเขา (คนหูหนวกที่สิงค์โปร์ใช้สมาร์ทโฟนกันเกือบทุกคน)

หลักการทำงานของแอพนี้คือตรวจจับเสียงจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น หากตรวจจับเสียงไซเรนของรถพยาบาลได้ เจ้าแอพนี้ก็จะสั่นลากยาวไป 20 วินาทีพร้อมกับขึ้นเตือนว่านี่เสียงรถพยาบาลนะ เสียงสัญญาณกันขโมยเอย เสียงเตือนไฟไหม้เอย เจ้าแอพนี้ก็จะสามารถตรวจจับได้เกือบหมด แถมที่เจ๋งยิ่งกว่า เจ้าแอพนี้ยังให้เราอัดเสียงเตือนแบบเป็นเฉพาะรายบุคคลได้ด้วย เช่น เสียงหมาเห่า เสียงเด็กร้อง เสียงกาน้ำร้อนเดือด เสียงไมโครเวฟ โอ้ย สารพัด อันนี้ก็แล้วแต่จะประยุกต์ใช้กันเลย

ในส่วนผลลัพธ์ก็่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ เพระาแอพนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนคนหูหนวก และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับอีกนับล้านชีวิตทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมได้รับความสนใจจากทั้งสื่อเก่าสื่อใหม่อย่างล้นหลาม ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ และที่สำคัญที่สุด แอพพลิเคชั่นนี้ทำให้กลุ่มคนหูหนวกมีชีวิตที่ง่ายและปลอดภัยขึ้น 🙂

Advertising Agency: GREY GROUP SINGAPORE, SINGAPORE

HEARING AIDE1 HEARING AIDE3

Tagged , , , , , , , , , , ,

ARRELS FUNDACIÓN: HOMELESSFONTS

HOMELESSFONTS5

ขนลุกใช้ได้เลยแคมเปญนี้

สำหรับแคมเปญนี้ เค้าตั้งใจจะแก้ปัญหาที่เรียกได้ว่าติดอันดับยอดฮิตที่สุดปัญหาหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งก็คือ “ปัญหาคนไร้บ้าน” ครับ

โดยปกติแล้ว การระดมเงินเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้านมักจะออกมาในลักษณะ “เยียวยา” “รักษา” และ “ดูแลไม่ให้แย่ไปกว่านี้” ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ครับว่าปัญหานี้มันแก้ยากมาก เพราะมีปัจจัยซับซ้อนมากมายเกินกว่าใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะแก้ไขได้โดยลำพัง แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่แคมเปญนี้มองไปไกลกว่านั้น เพราะเค้าอยากจะหาวิธีสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับมูลนิธิ โดยไม่ต้องรอแต่เงินบริจาคหรือรอรับเงินสนับสนุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แคมเปญที่ว่าก็คือ “HOMELESSFONTS”

แคมเปญนี้มองเห็นปัญหาว่า ระหว่างที่คนเราเดินผ่านคนไร้บ้านจะมีโมเมนท์หนึ่งที่เราจะจำได้ชัดเลยว่านี่แหละคือคนไร้บ้าน ที่มาเหมือนแพ็คเกจยังไงยังงั้น ชายหนุ่มวัยกลางคน ดูซกมก ไม่โกนหนวดเครา เสื้อผ้ามอซอ สายตาอันแสนสิ้นหวัง และที่สำคัญที่สุด “กระดาษลังหนึ่งแผ่นที่มาพร้อมกับลายมือยึกยือ” ที่เขียนข้อความขอรับเงินบริจาค

ถ้าเป็นเราก็คงเดินผ่านแบบไม่ใยดี แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เขากลับมองว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจ บางอย่างที่สะท้อนเอกลักษณ์และความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุด  “ลายมือ”  ไงครับ บางคนมีลายเส้นของความมีพลัง บางคนลายเส้นอ่อนนุ่มดูสบายตา เรียกได้ว่าลายมือนี่แหละที่สะท้อนบุคลิกของคนผู้นั้นได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อทีมงานเห็นความน่าสนใจดังนี้ จึงได้เชิญคนไร้บ้านมาวาดลายมือลงบนกระดาษ บางคนทำทีมงานอึ้งไปตามๆกันเพราะความสามารถแบบนี้นี่มันชั้นครูชัดๆ (ดูวิดีโอครั้งแรกรู้สึกขนลุกมาก ในความคิดของผม ลายมือคนนี้ดูมีสหน่ห์มากจริงๆ) เมื่อเขียนตัวอักษาเสร็จเรียบร้อย ทีมงานก็จะแสกนเข้าคอมพิวเตอร์ ปรับแต่งเล็กน้อยแล้วส่งขึ้นไปขายบนออนไลน์ โดยมีพวกแบรนด์ใหญ่ๆเป็นคนประเดิมซื้อฟอนท์ไปใช้ในองค์กร และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาซื้อฟอนท์ได้ผ่านเว็บไซท์ HomelessFonts.org

และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ เพราะมีคนเข้ามาในเว็บไซท์ถึง 200,000 กว่าคน มีคนดาวน์โหลดฟอนท์ไปมากกว่า 30,000 ครั้ง ส่วนมูลนิธิก็ได้รับเงินบริจาคผ่านฟอนท์นี้ถึง 37% เพื่อนำไปใช้ในสาธารณประโยชน์ของคนไร้บ้าน

อย่าลืมดูวิดีโอด้วยนะ 😀

Advertising Agency: THE CYRANOS MCCANN WORLDGROUP EUROPE BARCELONA, SPAIN

HOMELESSFONTS1 HOMELESSFONTS2 HOMELESSFONTS3 HOMELESSFONTS4 HOMELESSFONTS6

 

Tagged , , , , , , , , , , ,

UNHCR: Invisible people

UNHCR Invisible people

จากสถิติของ UNHCR มีการรายงานว่าทั่วโลกมี Refugee (ผู้หนีภัยทางการเมือง) มากถึง 35 ล้านคน และในจำนวนนั้นเป็นชาวเกาหลีเหนือถึง 300,000 คน ใครที่เคยติดตามข่าวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นี้ก็คงได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าทั้งสองประเทศยังมีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกาหลีเหนือยิงขีปนาอาวุธขู่เกาหลีใต้ ถึงแม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพหลายครั้งแต่ก็ยังดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ตัดกลับมาที่ฉากผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือกำลังพยายามข้ามด่านมายังเกาหลีใต้ เพราะไม่อยากทนอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ ในขณะที่เกาหลีใต้ก็ไม่อยากรับเพราะกลัวจะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เรียกได้ว่าปัญหามันอุรังอุตังซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะแก้ได้ภายในชั่วข้ามคืน

แต่ก็นั่นแหละครับ 3 แสนกว่าคน ใครมันจะไปสกรีนได้หมด มันก็ต้องมีหลุดเข้ามาบ้าง

หลุดเข้ามาได้แล้วเนียนๆก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าทางการเกาหลีใต้จับได้เมื่อไหร่ก็งานงอกทันที ซึ่งผมเข้าใจว่าถ้าถูกจับได้ก็มักจะถูกคุมตัวไปสอบสวนว่าเป็นสายลับมั้ย ถ้าไม่เป็นก็ส่งตัวกลับเกาหลีเหนือ โดยในแต่ละปีจะมีการส่งตัวกลับประมาณร้อยกว่าคน แล้วลองคิดภาพดูสิครับว่าทหารเกาหลีเหนือกำลังยืนรออยู่ที่ด่าน ทหารเกาหลีใต้เอาผู้ลี้ภัยกลับมาส่งในที่ที่เค้าอุตส่าห์หนีมา หลังจากข้ามพรมแดน ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วละครับ

เมื่อสถานการณ์มันชัดเจนขนาดที่เรียกว่า “เหมือนส่งคนเข้าโรงฆ่า” UNHCR ในเกาหลีใต้ก็เห็นว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง จึงได้ร่วมมือกับ CHEIL ซึ่งก็เป็นเอเจนซี่สัญชาติเกาหลีใต้มาทำแคมเปญเพื่อช่วยให้คนเกาหลีใต้ได้ฉุกคิดถึงว่า “การส่งชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ” เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?

แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเชิญผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือที่ยังคงพำนักอยู่ในเกาหลีใต้มาร่วมแคมเปญ ด้วยการใช้อุปกรณ์สแกน 3D รูปร่างหน้าตาของผู้ลี้ภัย แล้วนำไปปรินท์ให้ออกมาเป็นหุ่นจำลองขนาดประมาณฝ่ามือ จากนั้นก็นำหุ่นเล็กๆที่เป็นตัวแทนชาวเกาหลีเหนือนั้นไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในพิพิธภัณฑ์ เป็นกิมมิคการแสดงศิลปะแปลกใหม่ที่กระตุ้นให้ผู้เข้าชมต้องไปเดินค้นหาเอาเอง โดยในหุ่นแต่ละตัวก็จะมีวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวความลำบาก ความรู้สึกกลัวและความรู้สึกอีกหลายอย่าง สิ่งที่พีคมากที่สุดคือหุ่นแต่ละตัวนั้นเป็นตัวแทนของคนจริงๆ ไม่ได้เต้าขึ้นมาจัดแสดงแบบเก๋ๆเท่านั้น

ในช่วงเวลาของการจัดแสดง 3 สัปดาห์ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้กว่า 48,000 คน และก็ได้โพสข้อความให้กำลังใจชาวเกาหลีเหนือผ่านหน้า FB ของ UNHCR Korea ซึ่งก็จะได้รับการส่งต่อจริงๆ มีคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้มากกว่า 3.5 ล้านคน จากปัญหาที่แทบจะไม่มีคนเห็น มาตอนนี้ คนเกาหลีใต้ก็ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหานี้มีอยู่จริง

Turning the invisible into the visible~

Advertising Agency: CHEIL WORLDWIDE Seoul, SOUTH KOREA

invisible people1 invisible people2 invisible people3 invisible people4 invisible people5

Tagged , , , , , , , , , , , , ,

OPSM: PENNY THE PIRATE

Penny the pirate

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ตามสถิติในออสเตรเลีย มีคุณแม่หลายท่านที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับสุขภาพสายตาของคุณลูกมากถึง 40% ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะเด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับยีนตาบอดสี หรือหนักหน่อยก็อาจจะมีความผิดปกติแบบรุนแรง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือเด็กจะต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที

ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กดูสักครั้งนะครับ ถ้าสมมติว่าคุณแม่ของคุณชวนคุณไปตรวจสายตากับคุณหมอ เป็นคุณจะไปไหม? เก็บคำตอบเอาไว้ในใจครับ ไม่ต้องบอกผม เพราะคุณอาจจะเลือกไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่ก็อย่างที่เรามีความรู้สึกคุ้นเคยกันดีก็คือ เวลาคุณแม่บอกเราว่า “ไปหาหมอ” “ไปตรวจ” อะไรซัมติง ความรู้สึกเบื้องลึกมันจะทำให้เรารู้สึก “กลัว” ได้เสมอ เรื่องการตรวจสายตาก็คงไม่ต่างกัน

คราวนี้ OPSM ซึ่งเป็นแบรนด์ขายแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย เห็นโอกาสที่จะกระดึ๊บเข้ามาเล่นกับปัญหานี้ โดยเห็นมุมที่แตกต่างว่าไม่เห็นจำเป็นที่เด็กจะต้องออกนอกบ้านไปตรวจ เพียงแค่ใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆนี่ก็ได้

ถ้าดูในหนังก็คงจะเห็นฉากพ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง พี่แกก็ใช้วิธีนี้แหละครับ แทรกเข้าไปแบบเนียนๆ ด้วยการทำหนังสือนิทานก่อนนอนที่มีเรื่องราวของ Penny หนูน้อยผู้มีความพยายามอย่างสูงที่จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดให้ได้ มีการแทรกเนื้อเรื่องการล่าสมบัติ ไขปริศนาบลาๆๆ โดยที่ซ่อนบททดสอบสายตาของเด็กๆเข้าไปด้วย โดยจะต้องเคลียร์มิชชั่นที่ให้ไว้ซึ่งเป็นการทดสอบสายตา ถ้าเคลียร์ได้ก็แสดงว่าสายตาปกติ (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ)

ด้วยความที่งบประมาณจำกัด แคมเปญหนักสือหลอกเด็กนี้จึงถูกผลิตขึ่้นมาเพียง 400 เล่ม ในขณะที่มีเด็กมากถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหาทางด้านสายตา แคมเปญนี้จึงตั้งเป้าหมายว่าหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการส่งต่อไปยังคุณแม่ท่านอื่นเช่นกัน และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ ในช่วง 4 เดือนของการเริ่มแคมเปญ หนังสือทั้ง 400 ร้อยเล่มได้เข้าไปโลดแล่นในความคิดของเด็กๆมากกว่า 2,500 คน และจากผลลัพธ์ที่น่าสนใจในครั้งแรกก็ส่งผลไปยังผลลัพธ์ที่ 2 คือ OPSM ตั้งใจว่าจะทำหนังสือแบบนี้แจกจ่ายไปยังออลเตรเลียและนิวซีเลนด์ 300,000 เล่มแบบฟรีๆ!!

Advertising Agency: SAATCHI & SAATCHI Sydney, AUSTRALIA

Tagged , , , , , , , , , , , , , ,

CITY OF LAS PINAS: POCKET FIRE EXTINGUISHER

POCKET FIRE EXTINGUISHER

จะบอกว่างานดีไซน์ชิ้นนี้มันคือนวัตกรรมเปลี่ยนโลกแบบมินิก็คงไม่ผิด!

เรื่องของเรื่องมันก็มีอยู่ว่าที่ฟิลิปปินส์มีสถิติการเกิดไฟไหม้มากกว่า 8,000 ครั้งต่อปี ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ก็มันจะเกิดในย่านสลัม เพราะตัวบ้านมักจะสร้างจากวัสดุที่ติดไฟได้ง่าย บ้านที่เคยอยู่กันมาหลายปีก็มลายหายไปต่อหน้าต่อตา

มาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยกันว่าในเมื่อมันเกิดไฟไหม้บ่อย ทำไมซื้อถังดับเพลิงติดบ้านไว้ละ? ซึ่งคำตอบก็คาดเดาได้ไม่ยากครับ “มันแพง!” ถังดับเพลิงถังหนึ่งมันราคาประมาณ 1,350 บาท (45$) ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ เขาคงไม่มีกำลังพอที่จะซื้อถังดับเพลิงแบบปกติได้

เกริ่นมาขนาดนี้ก็คงรู้แล้วนะครับว่ามันมีวิธีการแก้ไขปัญหา นี่เลยครับ ขอแนะนำ “ถุงดับเพลิงมือถือ” นวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยให้คุณดับเพลิงได้อย่างปลอดภัยด้วยราคา 1$ โดยมีส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู พร้อมกับแคปซูลที่บรรจุเบคกิ้งโซดา แพ็คมาพร้อมกันในถุงพลาสติกที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับถุงน้ำจิ้มยังไงยังงั้น

วิธีการใช้ก็ง่ายแสนง่าย โดยเริ่มต้นจากการบีบแคปซูลเบคกิ้งโซดาให้แตก แล้วปล่อยให้มันฟูในถุงน้ำส้มสายชูสักพัก เมื่อฟูได้ที่ก็ฉีกถุงออก แล้วเล็งให้แม่นๆไปที่ไฟไหม้ เพียงเท่านี้เปลวไฟก็จะหายวับไปกับตา ซึ่งในหลักการทำงานของมันก็ดูเป็นวิทยาศาสตร์ประถมศึกษามาก (แต่เราก็คิดไม่ได้) เมื่อเบคกิ้งโซดาสัมผัสกับน้ำส้มสายชูในภาชนะปิด มันก็จะผลิตก๊าสคาร์บอนไดออกไซด์สะสมไว้ในถุงน้ำจิ้ม เมื่อฉีกถุงออกมันก็จะพุ่งหลังจากการบีบอัดของคาร์บอนได้ออกไซด์ ซึ่งเจ้าคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะทำหน้าที่ไปตัดออกซิเจนซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของการเกิดเปลวไฟได้

ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหมครับ? นอกจากจะดับไฟได้คล้ายกับถังดับเพลิงแล้วก็ยังมีราคาถูกพอที่คนในพื้นที่สลัมจะซื้อหามาไว้ได้ ถ้าจะบอกว่าถุงดับเพลิงมินิชิ้นนี้เป็นงานดีไซน์เพื่อสังคมก็คงพูดได้อย่างภาคภูมิ แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ อย่าไปฝากความหวังไว้ที่น้ำส้มสายชูกับเบคกิ้งโซดามากเกินไปนะครับ ถ้ามีเงินก็ซื้อถังดับเพลิงดีๆไว้ซักถัง อุ่นใจกว่าเยอะ เนอะ!

Advertising Agency: DDB DM9JAYMESYFU/DIGIT Makati City, THE PHILIPPINES

Tagged , , , , , , , , ,