Tag Archives: experiment

Association of Communication Companies Belgium: Sell the Jobless

sell the jobless

ลองจินตนาการดูนะครับ สมมติว่าวันนี้คุณเป็นคนที่ตกงานมา 5 ปีแล้ว ไปสมัครงานที่ไหนเค้าก็ไม่รับ เงินเก็บที่มีอยู่ก็ใกล้จะหมดแล้ว แล้วจู่ๆวันนึงก็มีคนยื่นมือแล้วบอกว่าจะช่วยให้คุณหางานทำ คุณจะรู้สึกยังไง?

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเบลเยี่ยมครับ มีสมาคมหนึ่งที่ชื่อว่า Association of Communication Companies (ACC) เค้าอยากจะทำแคมเปญ “Sell the jobless” (“ขาย” คนตกงาน) ด้วยการเฟ้นหานักโฆษณามือฉมัง โดยเริ่มต้นจากการเฟ้นหา Copy writer ซึ่งโดยปกติแล้ว งานโฆษณาที่วไปก็มักมักจะแต่ขายมือถือ รถยนต์รุ่นใหม่ หรือสเปรย์ฉีดเต่า แต่ในแคมเปญนี้เค้าจะได้ “ขาย” สิ่งที่มีความหมายมากกว่า นั่นก็คือ “คนตกงาน” ครับ จะทำยังไงคนตกงานให้เค้าได้งาน ด้วยทักษะที่ Copy writer ถนัดที่สุด “การใช้คำ”

(ลองนึกถึงว่าเวลาจะทำโปสเตอร์หนึ่งชิ้น ในวงการโฆษณาจะมีคนที่ทำชิ้นงานอยู่ 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ 1. Art Director คนที่ทำหน้าที่คิด”ภาพ” และ 2. Copy writer คนที่ทำหน้าที่คิด”คำ” เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นต้องดูอันนี้ครับ http://www.multiple-owners.com/design-2/graph-design/copywriter-vs-art-director/)

แคมเปญนี้ริเริ่มกันคนตกงาน 14 คน โดยที่มี Copy writer เขียนจดหมายขายคนตกงานมากถึง 594 ฉบับ คนตกงานคนไหนที่ถูกบริษัทเรียกสัมภาษณ์ Copy writer คนที่เขียนจดหมายแนะนำให้ก็จะได้รับการจ้างงานจากสมาคมเช่นกัน

นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่เราได้เห็นการจับคู่ที่ดูเหมาะเจาะ คนตกงานก็จะได้งาน ส่วน Copy writer ก็จะได้งาน ส่วนสมาคมก็ได้นักโฆษณามือดี เรียกได้ว่าวิน-วิน วินแล้ววินอีก วินวินแบบแฮปปี้ไลฟ์กันเลยทีเดียว

sell the jobless2

sell the jobless3

Advertising Agency: Happiness Brussels, Belgium

Tagged , , , , , , , ,

ปลูก “ไม้ประแดก” at Ma:D Social Entrepreneurs Hub

20140824_132014

สวัสดีครับทุกท่าน ผมไม่ทราบว่าทุกท่านเคยไปปลูกข้าวมั้ย ถ้ายังไม่เคย ผมจะชวนทุกคนมาปลูกข้าวกันครับ 🙂 แต่เดี๋ยวก่อนครับ คุณไม่ต้องเตรียมแพ็คกระเป๋าไปไหนทั้งนั้น เพราะผมจะมาชวนคุณปลูกข้าวที่บ้านของคุณนั่นแหละ จะเป็นบ้านเดี่ยว หอพัก หรือคอนโดก็ปลูกได้หมดครับ

เมื่อวานนี้ผมได้ไปงานเวิร์คช็อป “ปลูก ไม้ประแดก” ซึ่งงานนี้ผู้จัดตั้งใจทำเป็นแคมเปญใหญ่เลยครับ เป็นงานที่มีแนวคิดว่า เราสามารถปลูกพืชประดับเพื่อตกแต่งบ้านก็ได้ แถมยัง “แดก” ได้ด้วยนะ! ใช่ครับ ไม้ประแดกที่ว่านี่ก็คือ “ข้าว” นี่แหละครับ

ลองนึกภาพดูสิครับว่าสิ่งที่พ่อแม่เราบอกกันนักหนาว่าให้กินข้าวให้หมดจาน หรือแม้แต่กระทั่งสิ่งผู้นำประเทศมักจะบอกกับเราอยู่เสมอว่าข้าวเป็นสมบัติของชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาหลายร้อยปี แต่สุดท้ายคนเมืองธรรมดาอบ่างเราเห็นข้าวมันถูกแพ็คมาเป็น “ถุง” เรียบร้อยแล้ว คำถามของผมก็คือ เราจะเห็นคุณค่าของข้าวมากแค่ไหน เพียงแค่เราได้เห็นแค่ปลายทางของมัน?

20140824_134733

แคมเปญปลูกไม้ประแดกจึงคิดว่าอยากส่งมอบประสบการณ์ความเป็นชาวนาและศิลปินมาสู่คนเมือง คนที่กินข้าวทุกวันแต่กลับไม่รู้ที่มา ให้พวกเค้าได้สัมผัส ให้พวกเค้าได้รับรู้ถึงความยากลำบากของชาวนา โดยที่ไม่ต้องใช้พื้นที่มากมายเลย ขอเพียงแค่มุมหนึ่งในบ้านหรือที่ทำงานของคุณ แล้วลองดูซิว่าพื้นที่เพียงเล็กน้อย คุณจะสามารถรับผิดชอบมันได้มากแค่ไหน?

20140825_105422

แคมเปญนี้จะใช้ผลิตภัณฑ์มาเป็นตัวส่งมอบประสบการณ์ครับ ด้วยการจัดแพ็คเกจที่คุณสามารถนำไปปลูกที่บ้านได้เลย ซึ่งในหนึ่งชุดก็จะมีแผ่นพับบอกรายละเอียดและวิธีการปลูกของข้าวแต่ละสายพันธุ์ ปุ๋ยขี้ค้างคาว ไตรโคเดอมาแบบน้ำ (เชื้อราดีที่เอาไว้แช่เมล็ดข้าวเพื่อป้องกันเชื้อรา)ไตรโคเดอมาแบบผง (ผสมกับดินเพื่อป้องกันเชื้อราในดิน)ถ้วยกระดาษย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ (แหล่งอนุบาลพันธุ์ข้าว) ป้ายปัก (บอกชื่อพันธุ์และวันที่เริ่มปลูก) กระถางปลูกข้าว (สูงไม่น้อยกว่า 30 cm และไม่มีรูระบายน้ำ) และสุดท้ายพระเอกของเรา เมล็ดพันธุ์ข้าวที่เราคัดมากับมือ (มีให้เลือก5 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมปทุมเทพ ข้าวก่ำดอ ข้าวลืมผัว ข้าวปะกาอำปิล และข้าวหอมนิล) ซึ่งวันนี้ผมก็ได้เลือกข้าวหอมปทุมเทพมาครับ

20140824_132106

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากการคัดสายพันธุ์ข้าวครับ ซึ่งพี่เค้าบอกว่านี่คือองค์ความรู้ชุดแรกที่เกษตรกรควรจะมี (เพราะมันจะเป็นตัวกำหนดว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้าเราจะต้องกินข้าวพันธุ์ไหน) ซึ่งก็มีหลักการอยู่ว่า จมูกข้าวต้องสมบูรณ์ ไม่มีไข่ปลาซิว และหัวกับท้ายเมล็ดจะต้องตรงเสมอกัน ซึ่งเหตุผลที่ต้องคัดพันธุ์ก่อนก็เพราะว่าเราจะเลือกอดัมกับอีฟของข้าวที่จะเอามาไว้ในบ้านเรา การเลือกพันธุ์ที่ดีก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตและการขยายพันธุ์มากขึ้น ขอบอกตรงๆเลยว่าแค่ขั้นตอนนี้ก็โคตรยากและใช้สมาธิมาก ใช้เวลากัน 2-3 ชั่วโมง (ในรายละเอียดมีอีกเยอะ ต้องลองเข้าเวิร์คช็อปดูครับ)

อีเวนท์ที่จัดขึ้นจบที่ขั้นตอนนี้ครับ ที่เหลือก็รอให้เหล่า “เกษตรกร” หน้าใหม่ขนชุดปลูกข้าวมินิกลับไปลองปลูกดูที่บ้าน ตั้งกลุ่มรายงานผล อีกสักอาทิตย์นึงคงได้เห็นความก้าวหน้าครับ 🙂

ก็อย่างที่เล่าไปตอนแรกครับ แคมเปญนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนเมืองได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นชาวนาได้ถึงในบ้าน เพราะคนเมืองไม่ค่อยรู้ถึงแหล่งที่มาของข้าว แคมเปญนี้จึงเป็นช่องทาง “สื่อสารโดยตรง” ระหว่างผู้ปลูกกับผู้กิน ให้ผู้กินได้มองเห็นถึงคุณค่าและได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของ และอาจจะเป็นฐานนำไปสู่การสร้างระบบแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระบบการปลูกข้าวในเมืองซึ่งกันและกัน เป็นกระจกสะท้อนตัวเอง และสิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือเราทุกคนก็จะมีส่วนในการช่วยกันรักษาพันธุ์ข้าวดีๆที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็อย่างที่รู้กันครับ นโยบายด้านข้าวในระดับชาติมักจะถูกผูกโยงกับเรื่องของตลาด ทำยังไงก็ได้ให้ขายได้เยอะๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทิศทางของการผลิตข้าวก็จะถูกแปรเปลี่ยนจากคุณภาพไปสู่ปริมาณ ข้าวพันธุ์พื้นเมืองก็จะเริ่มหยุดพัฒนาสายพันธุ์และสูญหายไปในที่สุด

ประกอบกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้แทบจะไม่มีใครสนใจไปทำงานภาคการเกษตร ในอนาคตก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าคนรุ่นใหม่อาจจะเผชิญกับวิกฤตทางด้านอาหารครั้งรุนแรงก็เป็นได้

เพราะฉะนั้น สิ่งที่แคมเปญนี้กำลังทำอยู่จึงไม่ใช่เพียงแค่ส่งมอบประสบการณ์ชิคๆคูลๆครับ แต่อาจจะไปไกลถึงการกำหนดอนาคตความมั่นคงทางอาหารของประเทศก็เป็นไปได้นะครับ นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วครับ

(ถ้าท่านไหนสนใจเข้าเวิร์คช็อป “ปลูกไม้ประแดก” ต้องอดใจรอสักนิดนะครับ ได้ข่าวแว่วๆมาว่าจะจัดกลางเดือนหน้าอีกรอบที่เอกมัย แล้วจะมาบอกข่าวอีกทีนะครับ)

Tagged , , , , , , , , , , ,

VinziRast: Vinzi Gast

Vinzi Gast1

ถ้าได้อ่านบล็อกของผมมาสักพัก หลายท่านจะเริ่มจับจุดได้ว่าแคมเปญที่ผมเลือกมามักจะมีปัญหาทางด้าน “การสื่อสาร” แทบจะทุกเคส ถ้าลองสังเกตดู มันคือปัญหาเดิมๆที่อยู่คู่โลกมาหลายปีแล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงรู้อยู่แล้วละว่าปัญหามันยังคงมีอยู่ แต่น้อยคนที่สนใจและใส่ใจกับมันอย่างจริงจัง

Vinzirast องค์กรที่บริหารงานโดยเอกชนในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ที่ทำหน้าที่จัดหาที่พักข้ามคืน อาหาร ทำความสะอาดเสื้อผ้า ให้กับคนไร้บ้าน กำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินที่ได้รับบริจาคน้อยลงทุกปีๆ ในขณะที่จำนวนประชากรคนไร้บ้านก็ยิ่งเพิ่มขึ้น จะทำอย่างไรให้คนหันมาสนใจและบริจาคเงินให้กับ Vinzirast (ให้นึกภาพว่าทุกๆคืนที่ออสเตรียมันหนาวมาก บางครั้งก็เป็นตัวแบ่งแยกความเป็นตายได้เลย)

เป็นคุณ คุณจะช่วย Vinzirast ยังไงครับ? ………… ก่อนจะอ่านต่อ ผมขอให้ลองหยุดคิดสัก 20 วินาที ไม่แน่คุณอาจจะมีวิธีที่ดีกว่าเขาก็ได้ครับ (ผมไม่แน่ใจว่าผมสปอยล์ไปแล้วรึเปล่านะ 555)

และวิธีการที่เขาเลือกใช้ก็คือ สร้าง Page บน Facebook ที่ใช้ชื่อว่า Vinzi Gast (แขกของ Vinzirast)เพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่าในแต่ละวันเค้าจะต้องประสบพบเจอกับอะไรบ้าง เค้าคิดอะไรอยู่ เค้ากินเค้านอนยังไง แล้วสภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่มันเป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างแบบ Real-time ให้คนทั่วๆไปอย่างเราได้เห็นว่าพวกเขาแม่งลำบากแค่ไหน (เชิญชมได้ที่ https://www.facebook.com/pages/Vinzi-Gast/252724914886559)

หลักจากที่เกิด Vinzi Gast ได้สักพัก สังคมก็เริ่มพูดคุยกันถึงประเด็นเรื่องคนไร้บ้านกันอีกครั้ง เกิดเป็นชุมชนออนไลน์ที่คนทั่วๆไปหลายคนเริ่มเข้ามาเสนองานให้ทำ ให้กำลังใจ ให้คำแนะนำ และเสนอความช่วยเหลืออื่นๆอีกมากมาย

แคมเปญนี้ได้รับคำชื่นชมจากสังคม Facefook มากกว่า 4 ล้านครั้ง ได้พื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่า 1 แสนยูโร ได้รับเงินบริจาคเข้า Vinzirast กว่า 200% และที่สำคัญที่สุด ชายไร้บ้านนิรนามผ Vinzi Gast ผู้นี้ก็ได้งานทำและไม่ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านอีกต่อไป

น่าเสียดายตรงที่ว่า Vinzi Gast ได้หยุดอัพเดตไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ยังไงก็ยังสามารถเข้าไปย้อนดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนไร้บ้านในออสเตรียได้ครับ

นึกถึงเมืองไทยผมก็เห็นว่าคนไทยมีคนไร้บ้านอยู่ไม่น้อยเลย แถมยังมีข่าวอยู่พักหนึ่งว่าถูกวัยรุ่นรุมทำร้ายจนสาหัส เอาจริงๆผมว่าปัญหาเรื่องนี้ก็ไม่เล็กนะครับ ถ้าใครมีไอเดียทำแคมเปญหรือวิธีแก้ไขปัญหาก็ลองคอมเมนท์ไว้ดูนะครับ ไม่แน่นะครับ เรื่องดีๆแคมเปญดีๆอาจจะเกิดจากเพจนี้ก็ได้ ถ้าเราร่วมมือกันครับ 😀

Vinzi Gast2 Vinzi Gast3

Advertising Agency :Demner Merlicek & Bergmann, Vienna, Austria

Tagged , , , , , , ,

World Vision Korea: Children of Fidelity

Children of Fidelity1

ว่ากันว่างานโฆษณาแถบเอเชียจะเก่งมากในเรื่องการทำแคมเปญแนวดราม่า ซึ่งคราวนี้จะพามาดูเคสในเกาหลีใต้กันครับ ดูครั้งแรกก็เล่นเอาน้ำตาซึมเหมือนกันนะฮะ

เริ่มแรกสำหรับแคมเปญนี้เค้าก็จั่วเรื่องขึ้นมาดื้อๆเลยครับ เค้าบอกว่าจะมีการแคสบทภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Children of Fidelity” โดยมี Producer ชื่อดังนามว่า คิมโบซอง มาเป็นกรรมการตัดสินครับ และแน่นอนว่าถ้าชื่อเรื่องมาแบบนี้ เค้าต้องแคสเด็กแน่นอนครับ

และบทที่แคสก็แสนจะประหลาด อย่างเช่น ให้เด็กลองดื่มน้ำสกปรก ให้เด็กสนตะพายแบกของหนัก และให้เด็กปีนขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ลที่อยู่สูงถึง 2- 3 เมตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ว่าเหล่าพ่อแม่ที่พาลูกมาก็ต่างหวาดวิตกกับการแคสบทภาพยนตร์ในครั้งนี้

จนกระทั่งการแคสเสร็จสิ้น ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเฉลยครับ

“คุณแม่ครับ ผมต้องขอโทษคุณแม่ทุกท่านอย่างสุดซึ้งจริงๆนะครับ วันนี้ เราได้ขอยืมความกล้าหาญของเด็กๆมาถ่ายทอดเรื่องราวที่คนทุกคนรู้อยู่แล้ว แต่กลับแทบไม่มีใครสนใจ เพียงเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกของพวกเรา”

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องดื่มน้ำที่ไม่สะอาด” ฉาพภาพเด็กแอฟริกันในเคนยา ตักน้ำจากแหล่งน้ำที่……….. ต้องดูเอาเองครับ

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำงานหนัก” ฉายภาพเด็กแอฟริกันจากแทนซาเนียที่กำลังกระเทาะหินเพื่อหาแร่มีค่า

“เราไม่อยากให้ลูกของเราทำเรื่องที่เสี่ยงอันตราย” ฉายภาพเด็กสาวชาวกานาอายุ 9 ปี ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้

มีสถิติที่น่าตกใจว่าทุกๆ 20 วินาทีจะมีเด็กตายหนึ่งคน อันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารและโรคบิด

“เราไม่อยากให้ลูกของเราต้องทุกทรมานจากความหิวโหย”

หลักจากนั้นก็ฉายภาพเรื่องราวที่น่าสลดหดหู่ที่เกิดขึ้นกับเด็กในแอฟริกาที่ผมเห็นครั้งแรกแล้วก็รู้สึกตกใจมาก มันมีประโยคหนึ่งที่ผมอ่านแล้วแทบจุกอกคือ “นี่คือลูกอมชิ้นแรกในชีวิตของเขา ที่มีค่ามากกว่าเพชรพลอยทั้งหลาย”

เอาเป็นว่า แคมเปญนี้มันมีความน่าสนใจตรงที่ว่าได้สื่อสารกับคนทั้งสองวัยคือทั้งตัวพ่อแม่และตัวเด็กเอง ซึ่งผมมองว่าทรงคุณค่ามากกว่าแค่การทำแคมเปญเชิงดราม่าเรียกน้ำตาแล้วสุดท้ายก็ระดมทุน สิ่งที่อแคมเปญนี้ไปได้ไกลกว่าคือการปลูกฝังสำนึกให้กับตัวเด็ก ให้พวกเขาได้รู้ตัวว่ายังมีเพื่อนในวัยเดียวกันกับพวกเขาที่ยังต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในอีกซีกโลกหนึ่ง

ก็นั่นแหละครับ พ่อแม่ก็น้ำตาแตกกันไปทั่วหน้า แล้วคุณละครับ รู้สึกยังไง?

[อย่าลืมเปิดซับด้วยนะครับ หรือถ้าใครคล่องเกาหลีก็ไม่ว่ากันครับ]

Children of Fidelity2 Children of Fidelity3 Children of Fidelity4 Children of Fidelity5 Children of Fidelity6 Children of Fidelity7 Children of Fidelity8 Children of Fidelity9

Advertising Agency: AdQUA interactive, Seoul, South Korea

Tagged , , , , , , , , ,

Unicef: The Rolypoly Donation box

UNICEF Rolypoly donation box3

มาอีกแล้วสำหรับแคมเปญแนว Fun Theory เพียงแต่รอบนี้อาจจะต้องรอนานหน่อยกว่าจะเห็นผล

แคมเปญนี้เริ่มต้นจากเรื่องที่เราทั่วๆไปคงรู้กันอยู่แล้วครับ นั่นก็คือเรื่องปัญหาความอดอยากและโรคระบาดในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งในแต่ละปีเด็กๆนับล้านชีวิตในประเทศเหล่านี้ได้เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าว ทั้งๆที่เงินไม่กี่เหรียญในมือของคนอีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถพลิกความเป็นตายได้เลยทีเดียว

แคมเปญนี้จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขอรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเด็กเหล่านั้นครับ โดยแคมเปญจริงๆเค้าทำที่เกาหลีใต้ และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรเลย เพียงแค่ทำตุ๊กตาล้ม(ที่ยังไม่)ลุก มาวางไว้ตามที่สาธารณะ โดยเชิญชวนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยการหยอดเหรียญถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ตุ๊กตายืนขึ้นมาได้ ตรงกับสโลแกนของแคมเปญนี้ที่ว่า “Providing just a little help could save their lives and give them the strengh to stand up on their own”

แคมเปญนี้จะเป็นยังไง เชิญรับชมครับ 😀

UNICEF Rolypoly donation box2 UNICEF Rolypoly donation box4 UNICEF Rolypoly donation box5

Advertising Agency: Daehong Communications Inc, Seoul, Korea

Tagged , , , , , , , , , ,

Friendly Traffic: Piano

friendly traffic1

มาอีกแล้ว สำหรับแคมเปญแนว Fun theory (ใช้ความสนุกในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คน) คงจะจำกันได้สำหรับแคมเปญหนึ่งที่ดัดแปลงบันไดบริเวณสถานีรถไฟใต้ดินเยอรมันให้กลายเป็นเปียโนขนาดยักษ์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาออกกำลังกายกันบ้าง

แต่สำหรับแคมเปญนี้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ลงทุนเลยครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นที่บราซิล เจ้าแห่งแคมเปญอีกแล้วครับ มันมีปัญหาอยู่ว่าที่นี่มีคนเสียชีวิตจากการข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางม้าลายในปีนึงก็ไม่น้อย (ในวิโอไม่ได้อ้างสถิติ) ซึ่งก็คงคล้ายๆกับบ้านเรานั่นแหละครับ

แต่คราวนี้เรื่องของเค้ามันจะต่างจากบ้านเรานิดนึงตรงที่ทุกๆวันอาทิตย์เค้าจะปิดถนนเลียบหาดเมืองริโอเดอจาเนโร สำหรับการพักผ่อนและสันทนาการ ทาง Friendly Traffic ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรณรงค์ด้ารความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เ้คาก็เลยใช้โอกาสนี้ในการส่งเมสเสจอะไรบางอย่างเพื่อบอกให้คนริโอรู้ว่า “พวกมึงควรจะข้ามถนนให้ถูกที่ถูกทางนะ”

แคมเปญนี้คิดโคตรง่ายเลยครับ เพียงเอาเปียโนมาตั้งตัวนึงบริเวณทางม้าลาย เวลามีคนข้ามทางม้าลาย มือเปียโนก็จะบรรเลงโน๊ตง่ายๆเพื่อให้คนที่ข้ามทางม้าลายหันมาสนใจ (เป็นยังไงต้องไปดูในคลิป) จนข้ามเสร็จก็จะมีทีมงานแจกลูกโป่งเพื่อเตือนให้ข้ามถนนให้ถูกที่ถูกทาง

ก็เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ จริงๆบ้านเราก็ทำได้ เพียงแค่เอาระนาดเอกมาตัวนึง มาทำแบบแคมเปญนี้ ได้ทั้งรณรงค์เรื่องการข้ามถนนและเรื่องการอนุรักษ์ดนตรีไทย สองเด้งกันเลยทีเดียว

ถ้ามีไอเดียเจ๋งๆก็คอมเมนท์ไว้ตรงด้านล่างได้เลยนะครับ ไม่แน่ว่าซักวัน ไอเดียของคุณอาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ 🙂

#idae4changTH

Advertising Agency: Camisa 10, Rio de Janeiro, Brazil

friendly traffic2 friendly traffic3 friendly traffic4 friendly traffic5 friendly traffic6

 

Tagged , , , , , , , ,

Celem European Women’s Lobby: Abortiontravel

Abortiontravel1

คงจะเป็นปัญหาโลกแตกพอๆกับ “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?” สำหรับประเด็นปัญหาเรื่อง “การทำแท้งเสรี” ที่บ้านเราก็ถกเถียงกันมานับสิบๆปี บ้างก็อ้างเรื่องศีลธรรม บ้างก็อ้างเรื่องเศรษฐกิจและอัตราการเกิดอาชญากรรม ต่างฝ่ายก็ต่างมีเหตุผลที่หนักแน่น เรื่องนี้คงไปหาอ่านได้ตามบทความเก่าๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ผมจะเอาเคสที่เกี่ยวกับประเด็นการทำแท้งมาให้ดูกันครับ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่สเปน เมื่อช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว รัฐบาลสเปนได้ประกาศว่าจะปฏิรูปกฎหมายการทำแท้ง ให้มีลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งนัยหนึ่งมันหมายถึงการที่รัฐบาลไม่เคารพต่อสิทธิสตรี เพราะผู้หญิงสเปนเค้าเชื่อว่าเค้าตัดสินใจเองได้ ว่าจะเอาออกหรือไม่เอาออก นี่มันท้องของเค้าแท้ๆ อยู่ดีๆก็จะออกกฎมาดื้อๆโดยไม่ถามผู้หญิงเลย ในที่สุดก็เป็นเรื่องจนถึงขนาดมีสื่อมวลชนบอกว่ารัฐบาลใช้อำนาจในทางที่มิชอบ มีการเดินเปลือยกายประท้วง บุกเข้าไปถึงในรัฐสภา เรียกได้ว่าสภาบ้านเรานี่ดูจิ๊บๆไปเลย นี่แหละครับพลังของผู้หญิง ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก

และเพื่อให้การประท้วงเข้มข้นยิ่งขึ้น Celem European Women’s Lobby (ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มสมาคมอะไรสักอย่างที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิสตรี) มีแนวคิดที่ไปไกลกว่าแค่การออกมาประท้วงเย้วๆไปวันๆ กลุ่มสมาคมสตรีก็จึงได้ร่วมมือกับ DDB Madrid จัดทำแคมเปญขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากการปฏิรูปกฎหมายการทำแท้งของรัฐบาลนี้สำเร็จ เราจะได้เห็นอะไรบ้างในอนาคต

พี่แกก็เลยจัดตั้งเป็นบริษัททัวร์ ที่ไม่ใช่ทัวร์ธรรมดา แต่เป็นบริษัททัวร์ที่จำอำนวยความสะดวกเรื่องการทำแท้งให้กับผู้หญิง ด้วยการขายแพ็คเกจทัวร์ทำแท้ง ไปฝรั่งเศสบ้าง อังกฤษบ้าง ประเทศซึ่งเคารพการตัดสินใจของสตรีมากกว่าที่สเปน (ถ้าอยากเห็นภาพต้องเข้าไปดูที่ http://www.abortiontravel.org/en/) ตั้งทั้งแบบที่เป็นหน้าร้านและออนไลน์ เพื่อชี้ให้เห็นว่าถ้าปฏิรูปกฎหมายเมื่อไหร่ จะได้เห็นเอเจนซี่ขายทัวร์แบบนี้แน่นอน

แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งยิ้มครับ บริษัททัวร์นี้เค้าตั้งขึ้นมาหลอกๆครับ (แต่ทำโคตรจริงจังเลย) จุดประสงค์ของการตั้งเอเจนซี่ทัวร์นี้ขึ้นมาก็เพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปกฎหมายทำแท้งไปลงชื่อใน Petition เพื่อส่งชื่อคัดค้านการปฏิรูปไปยังรัฐบาลสเปน

ในแง่ของผลลัพธ์ ผมไม่แน่ใจว่ามีคนลงชื่อร่วมคัดค้านมากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุด ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา มีคนอย่างน้อย 38 ล้านคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้ และในที่สุด แคมเปญนี้ก็เข้าไปถึงในสภาในที่สุด (ยังไม่มีรายงานว่าการปฏิรูปกฎหมายได้ล้มลงไปหรือไม่ แต่ก็น่าจะพอคาดเดาแนวโน้มได้)

ก็จบไปอีกแคมเปญ ที่ถึงแม้จะทำจำลองขึ้นมา แต่ก็ทรงประสิทธิภาพทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ แค่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารอีกนิดหน่อย เราก็จะได้เห็นอะไรสนุกๆขึ้นอีกเยอะเลยครับ 😀

Advertising Agency: DDB, Madrid, Spain

 

 

Abortiontravel2 Abortiontravel3 Abortiontravel4

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

FUNDACIÓN PANIAMOR: INCOMPLETE BIOS

incomplete bios1

ไม่รู้เป็นอะไร เวลาที่ได้อ่านแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง ผมจะรู้สึกสนุกทุกครั้ง ความรู้สึกมันคงคล้ายๆกันกับขี่ม้าออกไปรบกับคนขี่ช้าง ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งตัวใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกท้าทาย

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่คอสตาริกาครับ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประเทศเค้ามาการเลือกตั้งประธานาธิบดีกันครับ ซึ่งก็คงเดาได้ไม่ยากว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งหลายก็ต่างประโคมนโยบายกันอย่างเมามันเพื่อดึงดูดฐานเสียง ก็ทั่วๆไปครับ นโยบายเพลนๆอย่างเพิ่มงาน ลดความยากจน กระตุ้นเศรษฐกิจบลาๆๆ  ซึ่งก็ได้โปรโมทผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

แต่คราวนี้เรื่องที่ไม่ปกติมันเกิดขึ้นตรงที่ว่า Paniamor องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเด็กและวัยรุ่นเกิดอยากจะผลักดันกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กให้เข้าไปอยู่ในนโยบายของเหล่าผู้ลงสมัครทั้งหลาย

แต่น่าเสียดายครับ เด็กพวกนี้อายุไม่ถึงสำหรับการเลือกตั้ง มันก็เลยทำให้เหล่าผู้สมัครไม่สนใจประเด็นปัญหานี้ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงการโปรโมทแคมเปญการเลือกตั้ง กฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเค้าแน่นอน

เป็นคุณ คุณจะทำยังไงให้เหล่าผู้สมัครทั้งหลายหันมาสนใจประเด็นปัญหานี้ด้วย?

แคมเปญนี้ฉลาดมากครับ เค้าเลือกใช้เครื่องมือหนึ่งที่เหล่าผู้สมัครก็ใช้ในการโปรโมทนโยบายของพวกเขาครับ “Wikipedia” ครับ

(สำหรับเมืองไทยผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถึงช่วงใกล้เลือกตั้ง จะมีใครจะเข้าไปดูนโยบายผู้สมัครในวิกิพีเดียมั้ย แต่ให้เข้าใจว่าที่คอสตาริกามันคงจะเวิร์คครับ)

ลองนึกภาพตามถึงรูปภาพ ประวัติ และนโยบายที่เหล่าผู้สมัครนั้นใส่ลงไปในวิกิพีเดีย แต่แคมเปญนี้จะเพิ่มเข้าไปอีก Category หนึ่งในส่วนของนโยบาย นโยบายที่ว่าด้วย “การปกป้องคุ้มครองเด็ก” พร้อมตั้งคำถามว่าผู้สมัครคนนั้นจะทำอะไรกับเรื่องนี้มั้ย แล้วก็ปล่อยให้มันว่างเปล่าเหมือนกับรอคนมาเติมคำ เพื่อที่จะให้คนทั่วไปได้รู้ว่าผู้สมัครเหล่านี้ไม่ได้สนใจเรื่องเด็กเลยแม่แต่น้อย

จนกระทั่งแคมเปญได้กลายเป็นไวรัล เพียงในไม่กี่ชั่วโมง วิกิพีเดียก็ได้บล็อคไม่ให้เข้าไปแก้ไขประวัติของผู้สมัคร แต่ไม่ทันแล้วครับ แคมเปญนี้ได้เริ่มจุดประกายให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้เรียบร้อยครับ ได้ออกทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์

ไม่ถึงเดือนของการรันแคมเปญ ประวัติของผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทุกคนก็เพรียบพร้อมไปด้วยนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็ก ราวเสกวับขึ้นมาในพริบตา จนกระทั่งการเลือกตั้งสิ้นสุด Luis Guillermo ประธานาธิบดีคนล่าสุดของคอสตาริก้าก็ได้ผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็กเข้าไปอยู่ในแผนงานของรัฐบาลในที่สุด

ใครจะไปคิดละครับว่าแคมเปญที่แทบไม่ได้ใช้เงินซักบาทซักสตางค์ มันจะสร้างผลกระทบได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นับเป็นมิติใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับการทำแคมเปญเพื่อก้าวไปสู่นโยบายรัฐ ที่องค์กรทั้งหลายที่ทำงานด้านสังคมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

Advertising Agency: LEO BURNETT COSTA RICA San Jose, COSTA RICA

incomplete bios2 incomplete bios3

 

Tagged , , , , , , , , , ,

Always: #LikeAGirl

likeagirl1

“เหยาะแหยะแบบนี้ไปเอากระโปรงมาใส่ซะ!”  “ร้องไห้อย่างกะเป็นผู้หญิงไปได้” คำพวกนี้คุ้นๆกันบ้างไหมครับ?

แหม่ จั่วมาขนาดนี้แล้วก็คงรู้กันนะว่าวันนี้เรามีแคมเปญเกี่ยวกับประเด็นทางด้าน “เพศ” มาให้ได้ดูกัน

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า Always ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ขายของเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและความงามของคุณผู้หญิง ซึ่งเป็นเครือหนึ่งในยักษ์ใหญ่ P&G คงจะเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อเชื่อมโยงตัวแบรนด์เข้ากับการทำแคมเปญอะไรซักอย่างแล้ว ประเด็นเรื่อง “เพศ” ก็น่าจะเป็นประเด็นที่เป็นตัวชูโรงที่ดีที่สุดสำหรับการทำแบรนด์

แคมเปญนี้เป็นแคมเปญเชิงทดลองครับผม เริ่มต้นด้วยการเชิญ “ใครก็ไม่รู้” ทั้งหญิงและชายเข้ามาในสตูดิโอ เพื่อให้มาถ่ายทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สู้ดีนัก และสัมภาษณ์เป็นรายบุคคลไป

จนเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่หน้ากล้อง โปรดิวเซอร์ก็บอกว่าให้ทำตามที่ฉันสั่งนะ เริ่มด้วยการสั่งให้ “Run like a girl” ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่แสดงออกมาก็ดูเหยาะแหยะไม่มีพลัง จากนั้นก็มีคำสั่งให้ Fight like a girl, Throw like a girl (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ) ซึ่งก็ออกมาเหมือนกับอันแรกเลยครับ ดูเหยาะแหยะ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง เห็นแล้วหงุดหงิด

การทดลองจาคนกลุ่มแรกจบไป ทีมงานก็ได้เชิญให้เด็กสาวที่น่าจะอายุยังไม่เกิน 10 ปีมาทำในแบบเดียวกันกับคนชุดแรกครับ แต่สิ่งที่แสดงออกมามันต่างกันลิบลับ (ต้องดูวิดีโอครับ) พลังมาเต็มมาก ท่าทางที่แสดงออกดูทะมัดทะแมง ไม่มีความเหยาะแหละหลงเหลือให้เห็นเหมือนกับการทดลองกับกลุ่มคนชุดที่แล้ว

จุดพีคของแคมเปญมันอยู่ที่ต้องนี้ครับ! เมื่อให้คนกลุ่มแรกได้เห็นการแสดงท่าทางของเด็กสาวในกลุ่มที่สอง ต่างก็ยอบรับกันเป็นเสียงเดียวกันว่า wording ของคำว่า “(something) like a girl” ภาพในจินตนาการของพวกเขา มันมีความหมายที่แสดงถึงความอ่อนแอ ดูถูกเหยียดหยัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายในเชิงที่ด้อยกว่า การแสดงออกของคนกลุ่มแรกจึงออกมาในลักษณะเหยาะแหยะ ไร้พลัง ซึ่งในครั้งแรกที่ได้ดูก็ “เออว่ะ” คำบางคำมันแฝงไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยัน แต่เราก็พูดมันออกไปโดยไม่ได้คิด หรือบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเลย

ก็นับได้ว่าแคมเปญนี้ได้หยิบเอา wording บางอย่างมาพูดมาสื่อสารได้อย่างน่าสนใจและเห็นได้ชัดเจนมาก ซึ่งผมคิดว่าในเมืองไทยก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะผมก็เคยเห็นเคยได้ยินคำเหยียดเพศเหล่านี้ออกมาจากปากของผู้หญิงเสียเอง ดังนั้นครั้งต่อไปจะคิดจะพูดอะไรก็ต้องระวังกันนิดนึงนะครับ เพราะผู้หญิงที่เค้าซีเรียสเรื่องนี้ก็เค้าอาจจะไม่ตลกกับเรา จะพากันเสียบรรยากาศการสนทนากันซะเปล่าๆนะตัวเธอว์

Advertising Agency: Leo Burnett Chicago

likeagirl2 likeagirl3

 

 

Tagged , , , ,