Category Archives: Digital

Beat Bowel Cancer Aotearoa: Bums Are Full Of Surprises

Bums Are Full Of Surprises1

มาอีกแล้วครับ สำหรับแคมเปญฮาๆ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าพระเอกของแคมเปญนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพหรือวิดีโอเครับ แต่มันอยู่ที่ “เสียง”ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ดูวิดีโอแคมเปญนี้ คุณจะไม่เก็ท แล้วคุณจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องแน่นอนครับ

Beat Bowel Cancer Aotearoa องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับการสร้าง Awareness ให้ความรู้ ช่วยเหลือ และทำวิจัยเกี่ยวกับ “มะเร็งลำไส้” ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วโลก อยากจะทำสร้างแคมเปญที่ให้ผู้คนในนิวซีแลนด์หันมาสนใจปัญหามะเร็งลำไส้กันมากขึ้น เพราะจากสถิติพบว่าในจำนวนคนนิวซีแลนด์ประมาณ 4.5 ล้านคน ทุกๆ 1,000 คนจะตรวจพบคนที่เป็นมะเร็งลำไส้เฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ที่ 9.3 คน หรือพูดง่ายๆก็คือคนนิวซีแลนด์จะมีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้เกือบ 1% คิดแบบกลมๆก็หมายความว่าจะมีคนนิวซีแลนด์เป็นมะเร็งลำไส้ถึง 45,000 คน คร่าชีวิตชาวนิวซีแลนด์มากกว่ามะเร็งเต้านมรวมกับมะเร็งต่อมลูกหมากซะอีก (เริ่มเยอะแล้วใช่มั้ยครับ) เค้าก็เลยคิดว่าจะต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนเริ่มตระหนักถึงปัญหานี้

ถ้าคุณได้ดูวิดีโอเปิดตัวแคมเปญนี้ คุณจะเห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนกางขาอยู่บนรถบรรทุก 2 คัน นายคนนี้ชื่อว่า Jean-Claude Van Damme เป็นนักแสดงชื่อดังที่เก่งด้านหนังบู๊แอคชั่น ซึ่งเค้าถูกจ้างมาเล่นในแคมเปญ The Epic Split เพื่อโชว์แสนยานุภาพของรถบรรทุก Volvo ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ว่ามันเสถียรขนาดกล้าให้นักแสดงคนนี้ขึ้นไปเล่นอะไรพิเรนทร์ๆแบบนี้ได้
แต่สุดท้ายแล้ว ก่อนที่จะแยกขา 180 องศา ก็มีเสียง “ปี๊ดดดดดดดดดด” ลากยาวออกมา……….. วอทเดอะ!!

Beat Bowel Cancer Aotearoa ได้สร้างเว็บไซท์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งโดยหน้าที่หลักๆของมันแล้ว มันคือเว็บที่เอาไว้ตัดต่อ “เสียงตด” ไปใส่ไว้ในวิดีโออื่นๆ ที่ต้องเป็นเสียงตดก็เพราะว่า คนที่เป็นมะเร็งลำไส้จะมีอาการหนึ่งซึ่งผมว่าทุกคนก็น่าจะรู้ซึ่งก็คือ “ควบคุมประตูหลัง” ไม่ค่อยอยู่ ก็อาจจะมีเสียงลมเล็ดลอดออกมาบ้าง กล้อมแกล้มกับพอขมปากขมคอ

แล้วก็โดนกันหมดฮะ เริ่มตั้งแต่วิดีโอแมว การ์ตูน วิดีโอสอนออกกำลังกาย รวมไปถึงวิดีโอดังจากทั่วทั้งมุมโลก แล้วเสียงตดก็มีให้เลือกหลากหลายมาก เริ่มตั้งแต่เสียงตดมด เสียงปืนกล เสียงครกระเบิด ไปจนถึงเสียงเครื่องบินเทคออฟ จะทุ้มจะแหลมจะเบสหนักแค่ไหนก็แล้วแต่จังหวะความคิดสร้างสรรค์ของคุณเลย ซึ่งเมื่อตัดต่อเสร็จ คุณก็สามารถแชร์กับเพื่อนๆบนเฟซบุ๊คหรือแพลตฟอร์มอื่นๆได้

เมื่อเพื่อนของคุณคลิกเข้าไป มันก็จะไปโผล่หน้าวิดีโอที่คุณเพิ่งใส่เสียงตดลงไป แล้วก็จะมีออพชั่นว่าคุณอยากจะบริจาคเพื่อช่วยแก้ไขปัญหานี้หรือไม่ หรือจะเล่นเอาสนุกเฉยๆก็ไม่ว่ากันครับ ไปลองเล่นกันดูที่ http://www.beatbowelcancer.org.nz/bums-are-full-of-surprises/ ได้เลยนะ

พูดง่ายๆก็คือว่าแคมเปญนี้พยายามที่จะ “แย่งซีน” (Hijack) เหล่าคลิปดังๆทั้งหลาย เพื่อให้คนนิวซีแลนด์มาสนใจเรื่องมะเร็งลำไส้กันมากขึ้นครับ ก็นับได้ว่าเป็นการแย่งซีนที่สร้างสรรค์ และสร้างสีสันให้กับโลกใบนี้ โดยที่ไม่ต้องยัดเยียดความรู้ให้เมือยตุ้มกันเลยครับ

เมื่อตะกี้ผมก็ลองเล่นดู อาจจะทำออกมากากๆหน่อย แต่ก็สนุกดีครับ 😀 (http://www.beatbowelcancer.org.nz/fartbomb/video.php?id=540)

อ้อ! แล้วก็อย่าลืมนะครับ เล่นสนุกได้ แต่ขอให้อย่าลืมประเด็นที่เค้าอยากจะสื่อสารด้วยนะครับ อย่าเล่นจนเพลินเน้ออ

Bums Are Full Of Surprises2 Bums Are Full Of Surprises3

Advertising Agency: Whybin\TBWA, Auckland, New Zealand

Tagged , , , , , , , , , ,

Turkish Traffic Safety Association: Don’t selfie and drive

Don't selfie and drive2

บอกก่อนเลยว่าแคมเปญนี้ไม่มีความพีคอะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงอีกวิธีสื่อสารหนึ่งที่ไม่เน้นสร้างความรูสึกทางอารมณ์มาก แต่ก็น่าใจและน่าเอาไปปรับใช้ได้ครับ

เรื่องของเรื่องมันเกิดที่ตุรกีครับ (แต่ภาพให้ความรู้สึกคล้ายบ้านเรามาก) ในแต่ละปีเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหลายครั้งมาก แล้วปัญหามันก็คลาสสสสิคมวาก ดื่มแล้วขับ แชทระหว่างขับ แต่งหน้าระหว่างขับ คงเป็นเหมือนกันทั้งโลก
ในวิดีโอเค้าก็บอกว่า นอกจากเหตุผลที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวแล้ว คนเราก็ยังหาเรื่องให้มันอุบัติเหตุได้อีก นั่นก็คือ “Carselfie” (เซลฟี่ระหว่างขับรถ)

ในวิดีโอเค้าอ้างว่าในแต่ละวันมีคนตุรกีถ่ายรูประหว่างขับรถเป็นพันๆรูป ช่างเป็นพฤติกรรมที่ non-sense มากๆ Turkish Traffic Safety Association สมาคมที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนก็ได้ออกแคมเปญ “Don’t selfie and drive”

เริ่มต้นด้วยการสร้าง Instagram และก็ค้นหารูปเซลฟี่ระหว่างขับรถ จากนั้นก็ตัดต่อภาพ The Grim Reaper (ยมทูตฝั่งตะวันตก) ให้เป็นผู้โดยสารอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่เบาะหลัง แล้วก็แท็กคนที่เป็นเจ้าของรูปภาพดั้งเดิม พร้อมกับข้อความ “If you don’t want to ride with the grim reaper, don’t selfie and drive.” ถ้าไม่อยากนั่งรถไปกับยมทูต ก็หยุดเซลฟี่ระหว่างขับรถได้แล้ว

โดยส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเป็นตัวที่กระตุ้นเตือนหรือมันจะกลายเป็นเรื่องสนุกกันแน่ แต่ที่รู้แน่ๆอย่างหนึ่งคือเค้าเลือกใช้วิธีแปลกใหม่ในการสื่อสาร ไม่จู้จี้จุกจิก ไม่อีโม ทำให้มันเป็นเรื่องสนุกซะเลย คนจะได้ไม่รู้สึกกำลังถูกกรอกหูว่าต้องเปลี่ยนนู่นนั่นนี่ อันนี้จะเวิร์คไม่เวิร์คก็อยู่ที่คนแล้วละครับว่าเค้าจะคิดได้มั้ย

ลองกลับมามองที่เมืองไทย เสียดายที่เค้าออกกฎหมายห้ามใช้มือถือระหว่างขับรถ ไม่งั้นเราอาจจะได้เห็นแคมเปญอะไรสนุกๆแบบนี้ก็ได้ ผมไม่แน่ใจว่ากฎหมายห้ามใช้มือถือระหว่างขับรถจะบังคับใช้ได้ดีแค่ไหน แล้วจะมีทางไหนที่เปลี่ยนให้คนเราคิดได้เองโดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกสื่อสารวิธีไหน หรือคุณจะเอาใครมาใส่ในรูปดีครับ?

Don't selfie and drive1 Don't selfie and drive3

Advertising Agency: Ogilvy Istanbul, Turkey

Tagged , , , , , , , ,

The European Initiative for Media Pluralism: ALTphabet

altphabet

ตั้งแต่เขียนบล็อกมาเกือบ 5 เดือน ยังไม่เคยเจอแคมเปญไหนที่พูดถึงเรื่องเสรีภาพของสื่อเลย จนกระทั่งได้มาเจอแคมเปญนี้ครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปครับ( แถบประเทศที่เรา(อย่างน้อยก็ผมคนนึง)ที่เชื่อว่าเข้มแข็งในประชาธิปไตย แต่ในบางแง่มุมก็อ่อนในเรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน กฎหมายปกป้องสิทธิสื่อมวลชนก็ดูจะบอบบาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ แม้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับแพร่กระจายไปสู้สาธารณชน แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้รัฐเข้ามาจัดการสื่อมวลชนได้ง่ายขึ้น อันไหนไม่ชอบใจก็สั่งปิดสั่งบล็อก

ลองจินตนาการว่าถ้าวันนี้คุณได้กลายเป็นสื่อมวลชน อยู่ในประเทศที่ไม่ค่อยให้เสรีภาพกับสื่อมากนัก และคุณอยากจะต่อสู้กับมัน คุณจะทำยังไง? ลองปิดถนนประท้วงดูมั้ย? หรือล่ารายชื่อเพื่อไปยื่นเรื่องกับผู้มีอำนาจแล้วบอกกับพวกเค้าว่า เฮ้ย กูไม่ยอมนะ? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ขอให้เก็บไว้ในใจครับ

The European Initiative for Media Pluralism (เข้าใจว่าเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธืสื่อโดยเฉพาะ) เค้าก็เลยสร้างแคมเปญเชิงรุกขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำ Petition ครับ ด้วยการสร้างเว็บไซท์ขึ้นมา เว็บไซท์นี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสและแปลงรหัสของภาษาที่ใช้ปุ่ม Alt (พูดง่ายๆก็คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปมันอ่านไม่ออก)

altphabet2

เวลาที่สำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ต้องการจะลงข่าวที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองก็จะใช้รหัสภาษานี้ในการเขียนบทความ ซึ่งก็รวมไปถึงมนุษย์ปุถุชนคนตัวเล็กๆอย่างเรา เวลาจะพูดแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองทีไรเราก็ไม่รู้ว่าจะมีบิ๊กบราเธอร์คอยจับจ้องอยู่หรือเปล่า เพื่อความอุ่นใจ ก็แปลงภาษาให้มันตรวจจับได้ยากขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับแชร์ผ่านเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้ด้วย

ในเชิงผลลัพธ์ แคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆอย่างมาก ทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงโซเชี่ยลมีเดีย โดยที่เค้าเคลมว่าแคมเปญนี้เข้าถึงสายตาผู้ชมมากกว่า 8 ล้านคน ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ จากการที่แทบไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ได้ผลตอบรับขนาดนี้นับได้ว่าไม่ธรรมดาครับ

http://www.altphabet.org/

altphabet3 altphabet4

Advertising Agency: Saatchi & Saatchi, Milan, Italy

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

NATURE´S GARDEN: BROKEN LIVER

Broken liver1

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า Hepalive โปรดักส์ไลน์ที่ขายอาหารเสริมบำรุงสุขภาพตับโดยเฉพาะ ภายใต้แบรนด์ใหญ่อย่าง Nature’s Garden เค้าได้อ้างงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ว่า แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์แสดงความรู้สึกต่างๆออกมา มันเป็นผลของสารเคมีชนิดหนึ่งในร่างการของเราที่ชื่อว่า Glucocorticoid ซึ่งเจ้าสารเคมีชนิดนี้มันถูกผลิตมาจาก “ตับ” ครับ

ได้ดูแคมเปญครั้งแรกก็แปลกใจและนั่งขำอยู่คนเดียว ใครจะไปคิดละครับว่าอารมณ์รักโลภโกรธหลงของมนุษย์ที่ว่าซับซ้อนนักหนา แม่งจะถูกบงจากการอวัยวะที่เราคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันได้เลย ใครได้ยินก็คงจะหงายเงิบไปตามๆกัน

ไม่ว่าความเป็นจริงจะเป็นอย่างไร ตับมันควบคุมอารมณ์มนุษย์ทั้งหมดจริงมั้ย หรือทำงานแค่แค่กับบางอารมณ์เท่านั้น เรื่องนี้เราคงไม่ขอตอบนะครับเพราะมันอยู่พ้นวิสัยของเรานัก เอาเป็นว่า สิ่งที่เราเลือกเอามาให้ทุกคนดูก็คือวิธีการสื่อสารที่เค้ากำลังจะบอกว่า “เฮ้ย! ตับก็สำคัญนะมึง” เป็นคุณ คุณจะสื่อสารยังไงครับ?

แคมเปญนี้คิดง่ายมากเลยครับ (ไม่รู้ว่าในขั้นตอนการทำงานมันออกมาง่ายแบบนี้มั้ย) เค้าได้เลือกเอาโมเมนท์ที่คนเราถูกกระตุ้นอารมณ์ได้รุนแรงที่สุดครับ ใช่ครับ “อกหัก”  (Broken Heart) เชื่อว่าใครที่เคยผ่านประสบการณ์รักแบบจบไม่สวยก็คงพยักหน้าไปตามๆกัน แต่ก็อย่างที่บอกครับ “หัวใจ” ไม่ใช่พระเอกของเรื่องนี้ นี่จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “Broken Liver” (แปลไทยไม่ได้จริงๆ) ที่เค้าพยายามจะบอกเราว่า ที่มึงรู้สึกเจ็บแบบนี้ก็เพราะ “ตับ” ของมึงนั่นแหละ ที่ใครฟังก็คงงงเต็กไปตามๆกัน

แน่นอนว่าการไปบอกเอาดื้อๆว่าตับนี่แหละที่เป็นตัวกำหนดอารมณ์ มันไม่เวิร์คแน่ๆ แคมเปญนี้จึงได้เลือกเอาบทเพลงมาเป็นตัวสื่อสารแทนครับ โดยเลือกเอาเพลงที่มีคำว่า “Heart” อยู่ทั้งในชื่อและเนื้อร้อง และจับเอาคำว่า “Liver” มาใส่แทนทั้งหมดเลย

แล้วก็ไม่น่าเชื่อนะครับ มันฟังดูเข้ากั๊นเข้ากันยังกับรถติดกับวันศุกร์สิ้นเดือน ฟังแล้วก็เพลินเหลือหลาย แถมแคมเปญนี้ยังรุกเข้าไปในร้านคาราโอเกะ มินิคอนเสิร์ต รวมถึงสื่อทางโซเชียลเน็ตเวิร์ค ลองเข้าไปดูกันได้ที่ www.brokenliver.com

ในส่วนของผลลัพธ์ก็น่าสนใจทีเดียว เพราะมีลูกค้ากว่า 8 พันคนเข้ามาสมัครพร้อมกับรับตัวอย่างเพลงไปฟังกัน (อาจจะฟังดูน้อย แต่นี่แค่แบรนด์อาหารเสริมบำรุงตับ มันค่อนข้างจะเฉพาะทาง) ยอดขายเพิ่มขึ้น 18% แล้วก็ไต่อันดับจากแบรนด์ที่อยู่ในอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ก็ถือว่าไม่เลวครับ

Advertising Agency: MARURI GREY GUAYAQUIL, ECUADOR

Broken liver2

 

Tagged , , , , , , , , ,

Operation Smile India: :{to:) #Clefttosmile

Cleft to smile

วันนี้มีอะไรให้คิดเล่นๆกันหน่อยครับ ผมอยากให้คุณลองลิสต์ปัญหาที่เกี่ยวกับ “โรคร้าย” ที่มีอยู่บนโลกและอยู่ในสเกลที่ยิ่งใหญ่พอที่คนที่คนทั่วไปน่าจะให้ความสนใจ ………………… สำหรับผมนะครับ โรคเอดส์ มะเร็ง โรคหัวใจ ไทฟอยด์ บิด ไข้เลือดออก โอ้ยย สารพัดสารพันปัญหา ที่ลิสต์ไว้ก็ดูเหมือนจะครอบคลุมเกือบทุกโรคที่เป็นประเด็นปัญหาสุขภาพในระดับโลกแล้วใช่มั้ยครับ พยักหน้าสิครับ โอเคครับ ขอบคุณมากครับ……………………………. แต่น่าเสียดายครับ จั่วมาขนาดนี้แล้วก็คงรู้นะครับว่ามันยังไม่ครบ

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “โรคปากแหว่งเพดานโหว่” กันมาบ้างนะครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้ผมก็ยังสงสัยเหมือนกันนะว่าโรคนี้มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วโรคนี้มันเป็น “โรค” จริงๆมั้ย มันเป็นมาจากกรรมพันธุ์รึเปล่า หรือเป็นความผิดปกติที่เกิดในระหว่างคลอด คิดว่าหลายๆคนคงน่าจะสงสัยเหมือนผม เรารู้จักชื่อของมัน แต่เราไม่รู้ว่าโรคนี้มันสร้างผลกระทบให้กับคนที่เป็นมากแค่ไหน

มีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจมาให้ดูกันครับ

บนโลกใบนี้มีเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งอยู่ในระดับหลักล้านนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ เด็กเหล่านี้ต้องคอยหลบหลังผู้ใหญ่หรือหาอะไรมาบังหน้าเพราะอับอายในรูปลักษณ์ภายนอกของตนตลอดเวลา สำหรับเด็กที่ยังไม่ประสาคงเจ็บปวดมากที่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อีกทั้งยังมีสถิติบ่งชี้ว่าหนึ่งในสิบของเด็กที่เป็นโรคนี้ ตายตั้งแต่อายุยังไม่ครบหนึ่งขวบ

แต่ช้าก่อนครับ มันไม่ได้เศร้าขนาดนั้น เพราะโรคนี้สามารถแก้ได้ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างง่ายที่ใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาที ก็จะทำให้เด็กคนนั้นกลับมามีชีวิตที่ปกติได้

แต่ก็อย่างที่รู้กันครับ คนรู้จักโรคนี้จริงๆมีน้อยมาก และมีเด็กหลายคนที่อยู่กับครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่สามารถเข้าถึงการผ่าตัดได้ ทำให้โรคนี้ไม่ค่อยมีเม็ดเงินมาถึงมากนัก เมื่อเทียบกับเม็ดเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญที่ใช้จ่ายกับเรื่องสาธารณประโยชน์ โรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้รับเงินจากเงินก้อนนี้ในสัดส่วนที่น้อยมาก Operation Smile India องค์การที่ทำงานหาเงินมาช่วยผ่าตัดศัลยกรรมโรคปากแหว่งโดยเฉพาะจึงมองว่าจะต้องทำให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกให้ได้ เมื่อนั้นก็จะได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชน มูลนิธิ หรือถึงขี้นเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายก็เป็นได้

แต่เดี๋ยวก่อนครับ (พล็อตทวิสต์อีกครั้ง) เราคงน่าจะรู้ว่าองค์กรที่ทำงานด้านนี้มักจะไม่มีเม็ดเงินสำหรับการโปรโมทหรือโฆษณามากนัก เขาจึงเริ่มจากสิ่งเล็กๆที่สุดที่เราสามารถมีส่วนร่วมได้ “โลโก้” ซึ่งวิธีสื่อสารของเขามันง่ายมาก เพียงแค่พิมพ์ :{to:) (จากปากแหว่งสู่รอยยิ้ม) เพียงเท่านี้คุณก็มีส่วนร่วมกับการช่วยให้โรคนี้เป็นที่รู้จักดีขึ้นแล้วครับ

ผมเป็นคนชอบส่งยิ้มนะ และก็เชื่อว่าคุณก็คงเหมือนกัน แต่การส่งยิ้มครั้งนี้จะเป็นอะไรที่มากกว่า แคมเปญนี้มีคนร่วมส่งยิ้มผ่านทวิตเตอร์มากกว่า 2 หมื่นครั้ง แล้วก็ได้เหล่าเซเลปมาเล่นด้วยกว่า 100 ชีวิต ซึ่งอัพเดตจากการรายงานผลแคมเปญล่าสุดสุดคือแคมเปญนี้มีคนเห็นมากกว่า 30 ล้านครั้ง (น่าเสียดายที่ในแพลตฟอร์มอื่นเล่นไม่ได้ เพราะมันจะขึ้นเป็น Emoji)

ในเชิงผลลัพธ์อาจจะฟังดูเข้าถึงคนได้น้อยนะครับ แต่ถ้าเทียบกับการลงทุน(ที่แทบจะไม่ได้ลงทุน) ก็นับว่าคุ้มค่ามหาศาลครับ

Advertising Agency:Ogilvy & Mather, Mumbai, India

 

Tagged , , , , , , , , , , ,

THE SINGAPORE ASSOCIATION FOR THE DEAF: HEARING AIDE

HEARING AIDE2

เรื่องของเรื่องมันมีสถิติที่น่าตกใจมากว่า ทั้งโลกมีผู้พิการทางการได้ยินจำนวนมากที่ไม่ได้ยินเสียงเตือนภัยในช่วงเวลาคับขันที่สุดถึง 360 ล้านคน โดยเฉพาะเหตุการณ์ไฟไหม้ การเตือนภัยสึนามิ การเตือนภัยการใช้อาวุธสงครามระหว่างชายแดน และอีกหลายๆเหตุการณ์ ซึ่งส่งผลให้ผู้พิการเหล่านี้ต้องจากโลกไปเพียงเพราะไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ผ่านการได้ยินได้

ใช่ครับ! เสียงหวอเตือนภัยพวกนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อคนหูหนวก!!

สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศสิงคโปร์จึงมองเห็นว่านี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วละ มันควรจะทำอะไรบางอย่าง นี่จึงเป็นที่มาของแอพลิเคชั่น “HEARING AIDE” แอพลิแคชั่นที่จะช่วยให้ชีวิตของคนหูหนวกง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยมีหลักคิดง่ายมาก ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ยิน เราก็ใช้โทรศัพท์มือถือนี่แหละแทนหูของพวกเขา (คนหูหนวกที่สิงค์โปร์ใช้สมาร์ทโฟนกันเกือบทุกคน)

หลักการทำงานของแอพนี้คือตรวจจับเสียงจากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง เช่น หากตรวจจับเสียงไซเรนของรถพยาบาลได้ เจ้าแอพนี้ก็จะสั่นลากยาวไป 20 วินาทีพร้อมกับขึ้นเตือนว่านี่เสียงรถพยาบาลนะ เสียงสัญญาณกันขโมยเอย เสียงเตือนไฟไหม้เอย เจ้าแอพนี้ก็จะสามารถตรวจจับได้เกือบหมด แถมที่เจ๋งยิ่งกว่า เจ้าแอพนี้ยังให้เราอัดเสียงเตือนแบบเป็นเฉพาะรายบุคคลได้ด้วย เช่น เสียงหมาเห่า เสียงเด็กร้อง เสียงกาน้ำร้อนเดือด เสียงไมโครเวฟ โอ้ย สารพัด อันนี้ก็แล้วแต่จะประยุกต์ใช้กันเลย

ในส่วนผลลัพธ์ก็่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ เพระาแอพนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนคนหูหนวก และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับอีกนับล้านชีวิตทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าย่อมได้รับความสนใจจากทั้งสื่อเก่าสื่อใหม่อย่างล้นหลาม ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 เหรียญดอลล่าร์สิงคโปร์ และที่สำคัญที่สุด แอพพลิเคชั่นนี้ทำให้กลุ่มคนหูหนวกมีชีวิตที่ง่ายและปลอดภัยขึ้น 🙂

Advertising Agency: GREY GROUP SINGAPORE, SINGAPORE

HEARING AIDE1 HEARING AIDE3

Tagged , , , , , , , , , , ,

ARRELS FUNDACIÓN: HOMELESSFONTS

HOMELESSFONTS5

ขนลุกใช้ได้เลยแคมเปญนี้

สำหรับแคมเปญนี้ เค้าตั้งใจจะแก้ปัญหาที่เรียกได้ว่าติดอันดับยอดฮิตที่สุดปัญหาหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งก็คือ “ปัญหาคนไร้บ้าน” ครับ

โดยปกติแล้ว การระดมเงินเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้านมักจะออกมาในลักษณะ “เยียวยา” “รักษา” และ “ดูแลไม่ให้แย่ไปกว่านี้” ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ครับว่าปัญหานี้มันแก้ยากมาก เพราะมีปัจจัยซับซ้อนมากมายเกินกว่าใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะแก้ไขได้โดยลำพัง แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่แคมเปญนี้มองไปไกลกว่านั้น เพราะเค้าอยากจะหาวิธีสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับมูลนิธิ โดยไม่ต้องรอแต่เงินบริจาคหรือรอรับเงินสนับสนุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แคมเปญที่ว่าก็คือ “HOMELESSFONTS”

แคมเปญนี้มองเห็นปัญหาว่า ระหว่างที่คนเราเดินผ่านคนไร้บ้านจะมีโมเมนท์หนึ่งที่เราจะจำได้ชัดเลยว่านี่แหละคือคนไร้บ้าน ที่มาเหมือนแพ็คเกจยังไงยังงั้น ชายหนุ่มวัยกลางคน ดูซกมก ไม่โกนหนวดเครา เสื้อผ้ามอซอ สายตาอันแสนสิ้นหวัง และที่สำคัญที่สุด “กระดาษลังหนึ่งแผ่นที่มาพร้อมกับลายมือยึกยือ” ที่เขียนข้อความขอรับเงินบริจาค

ถ้าเป็นเราก็คงเดินผ่านแบบไม่ใยดี แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เขากลับมองว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจ บางอย่างที่สะท้อนเอกลักษณ์และความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุด  “ลายมือ”  ไงครับ บางคนมีลายเส้นของความมีพลัง บางคนลายเส้นอ่อนนุ่มดูสบายตา เรียกได้ว่าลายมือนี่แหละที่สะท้อนบุคลิกของคนผู้นั้นได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อทีมงานเห็นความน่าสนใจดังนี้ จึงได้เชิญคนไร้บ้านมาวาดลายมือลงบนกระดาษ บางคนทำทีมงานอึ้งไปตามๆกันเพราะความสามารถแบบนี้นี่มันชั้นครูชัดๆ (ดูวิดีโอครั้งแรกรู้สึกขนลุกมาก ในความคิดของผม ลายมือคนนี้ดูมีสหน่ห์มากจริงๆ) เมื่อเขียนตัวอักษาเสร็จเรียบร้อย ทีมงานก็จะแสกนเข้าคอมพิวเตอร์ ปรับแต่งเล็กน้อยแล้วส่งขึ้นไปขายบนออนไลน์ โดยมีพวกแบรนด์ใหญ่ๆเป็นคนประเดิมซื้อฟอนท์ไปใช้ในองค์กร และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาซื้อฟอนท์ได้ผ่านเว็บไซท์ HomelessFonts.org

และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ เพราะมีคนเข้ามาในเว็บไซท์ถึง 200,000 กว่าคน มีคนดาวน์โหลดฟอนท์ไปมากกว่า 30,000 ครั้ง ส่วนมูลนิธิก็ได้รับเงินบริจาคผ่านฟอนท์นี้ถึง 37% เพื่อนำไปใช้ในสาธารณประโยชน์ของคนไร้บ้าน

อย่าลืมดูวิดีโอด้วยนะ 😀

Advertising Agency: THE CYRANOS MCCANN WORLDGROUP EUROPE BARCELONA, SPAIN

HOMELESSFONTS1 HOMELESSFONTS2 HOMELESSFONTS3 HOMELESSFONTS4 HOMELESSFONTS6

 

Tagged , , , , , , , , , , ,

UNHCR: Invisible people

UNHCR Invisible people

จากสถิติของ UNHCR มีการรายงานว่าทั่วโลกมี Refugee (ผู้หนีภัยทางการเมือง) มากถึง 35 ล้านคน และในจำนวนนั้นเป็นชาวเกาหลีเหนือถึง 300,000 คน ใครที่เคยติดตามข่าวระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้นี้ก็คงได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าทั้งสองประเทศยังมีความขัดแย้งกันถึงขนาดเกาหลีเหนือยิงขีปนาอาวุธขู่เกาหลีใต้ ถึงแม้จะมีความพยายามเจรจาสันติภาพหลายครั้งแต่ก็ยังดูไม่คืบหน้าเท่าที่ควร

ตัดกลับมาที่ฉากผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือกำลังพยายามข้ามด่านมายังเกาหลีใต้ เพราะไม่อยากทนอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ ในขณะที่เกาหลีใต้ก็ไม่อยากรับเพราะกลัวจะมีสายลับแฝงตัวเข้ามา เรียกได้ว่าปัญหามันอุรังอุตังซับซ้อนมากเกินกว่าที่จะแก้ได้ภายในชั่วข้ามคืน

แต่ก็นั่นแหละครับ 3 แสนกว่าคน ใครมันจะไปสกรีนได้หมด มันก็ต้องมีหลุดเข้ามาบ้าง

หลุดเข้ามาได้แล้วเนียนๆก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าทางการเกาหลีใต้จับได้เมื่อไหร่ก็งานงอกทันที ซึ่งผมเข้าใจว่าถ้าถูกจับได้ก็มักจะถูกคุมตัวไปสอบสวนว่าเป็นสายลับมั้ย ถ้าไม่เป็นก็ส่งตัวกลับเกาหลีเหนือ โดยในแต่ละปีจะมีการส่งตัวกลับประมาณร้อยกว่าคน แล้วลองคิดภาพดูสิครับว่าทหารเกาหลีเหนือกำลังยืนรออยู่ที่ด่าน ทหารเกาหลีใต้เอาผู้ลี้ภัยกลับมาส่งในที่ที่เค้าอุตส่าห์หนีมา หลังจากข้ามพรมแดน ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วละครับ

เมื่อสถานการณ์มันชัดเจนขนาดที่เรียกว่า “เหมือนส่งคนเข้าโรงฆ่า” UNHCR ในเกาหลีใต้ก็เห็นว่าควรจะต้องทำอะไรบางอย่าง จึงได้ร่วมมือกับ CHEIL ซึ่งก็เป็นเอเจนซี่สัญชาติเกาหลีใต้มาทำแคมเปญเพื่อช่วยให้คนเกาหลีใต้ได้ฉุกคิดถึงว่า “การส่งชาวเกาหลีเหนือกลับประเทศ” เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือ?

แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเชิญผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือที่ยังคงพำนักอยู่ในเกาหลีใต้มาร่วมแคมเปญ ด้วยการใช้อุปกรณ์สแกน 3D รูปร่างหน้าตาของผู้ลี้ภัย แล้วนำไปปรินท์ให้ออกมาเป็นหุ่นจำลองขนาดประมาณฝ่ามือ จากนั้นก็นำหุ่นเล็กๆที่เป็นตัวแทนชาวเกาหลีเหนือนั้นไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆในพิพิธภัณฑ์ เป็นกิมมิคการแสดงศิลปะแปลกใหม่ที่กระตุ้นให้ผู้เข้าชมต้องไปเดินค้นหาเอาเอง โดยในหุ่นแต่ละตัวก็จะมีวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวความลำบาก ความรู้สึกกลัวและความรู้สึกอีกหลายอย่าง สิ่งที่พีคมากที่สุดคือหุ่นแต่ละตัวนั้นเป็นตัวแทนของคนจริงๆ ไม่ได้เต้าขึ้นมาจัดแสดงแบบเก๋ๆเท่านั้น

ในช่วงเวลาของการจัดแสดง 3 สัปดาห์ มีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นี้กว่า 48,000 คน และก็ได้โพสข้อความให้กำลังใจชาวเกาหลีเหนือผ่านหน้า FB ของ UNHCR Korea ซึ่งก็จะได้รับการส่งต่อจริงๆ มีคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้มากกว่า 3.5 ล้านคน จากปัญหาที่แทบจะไม่มีคนเห็น มาตอนนี้ คนเกาหลีใต้ก็ได้ตระหนักแล้วว่าปัญหานี้มีอยู่จริง

Turning the invisible into the visible~

Advertising Agency: CHEIL WORLDWIDE Seoul, SOUTH KOREA

invisible people1 invisible people2 invisible people3 invisible people4 invisible people5

Tagged , , , , , , , , , , , , ,

OPSM: PENNY THE PIRATE

Penny the pirate

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า ตามสถิติในออสเตรเลีย มีคุณแม่หลายท่านที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจกับสุขภาพสายตาของคุณลูกมากถึง 40% ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาวไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ เพราะเด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับยีนตาบอดสี หรือหนักหน่อยก็อาจจะมีความผิดปกติแบบรุนแรง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือเด็กจะต้องได้รับการรักษาให้ทันท่วงที

ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กดูสักครั้งนะครับ ถ้าสมมติว่าคุณแม่ของคุณชวนคุณไปตรวจสายตากับคุณหมอ เป็นคุณจะไปไหม? เก็บคำตอบเอาไว้ในใจครับ ไม่ต้องบอกผม เพราะคุณอาจจะเลือกไปหรือไม่ไปก็ได้ แต่ก็อย่างที่เรามีความรู้สึกคุ้นเคยกันดีก็คือ เวลาคุณแม่บอกเราว่า “ไปหาหมอ” “ไปตรวจ” อะไรซัมติง ความรู้สึกเบื้องลึกมันจะทำให้เรารู้สึก “กลัว” ได้เสมอ เรื่องการตรวจสายตาก็คงไม่ต่างกัน

คราวนี้ OPSM ซึ่งเป็นแบรนด์ขายแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย เห็นโอกาสที่จะกระดึ๊บเข้ามาเล่นกับปัญหานี้ โดยเห็นมุมที่แตกต่างว่าไม่เห็นจำเป็นที่เด็กจะต้องออกนอกบ้านไปตรวจ เพียงแค่ใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆนี่ก็ได้

ถ้าดูในหนังก็คงจะเห็นฉากพ่อแม่อ่านนิทานก่อนนอนให้เด็กฟัง พี่แกก็ใช้วิธีนี้แหละครับ แทรกเข้าไปแบบเนียนๆ ด้วยการทำหนังสือนิทานก่อนนอนที่มีเรื่องราวของ Penny หนูน้อยผู้มีความพยายามอย่างสูงที่จะเป็นกัปตันเรือโจรสลัดให้ได้ มีการแทรกเนื้อเรื่องการล่าสมบัติ ไขปริศนาบลาๆๆ โดยที่ซ่อนบททดสอบสายตาของเด็กๆเข้าไปด้วย โดยจะต้องเคลียร์มิชชั่นที่ให้ไว้ซึ่งเป็นการทดสอบสายตา ถ้าเคลียร์ได้ก็แสดงว่าสายตาปกติ (เข้าใจว่าอย่างนั้นนะ)

ด้วยความที่งบประมาณจำกัด แคมเปญหนักสือหลอกเด็กนี้จึงถูกผลิตขึ่้นมาเพียง 400 เล่ม ในขณะที่มีเด็กมากถึง 1 ใน 4 ที่มีปัญหาทางด้านสายตา แคมเปญนี้จึงตั้งเป้าหมายว่าหนังสือเล่มนี้ควรจะได้รับการส่งต่อไปยังคุณแม่ท่านอื่นเช่นกัน และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ ในช่วง 4 เดือนของการเริ่มแคมเปญ หนังสือทั้ง 400 ร้อยเล่มได้เข้าไปโลดแล่นในความคิดของเด็กๆมากกว่า 2,500 คน และจากผลลัพธ์ที่น่าสนใจในครั้งแรกก็ส่งผลไปยังผลลัพธ์ที่ 2 คือ OPSM ตั้งใจว่าจะทำหนังสือแบบนี้แจกจ่ายไปยังออลเตรเลียและนิวซีเลนด์ 300,000 เล่มแบบฟรีๆ!!

Advertising Agency: SAATCHI & SAATCHI Sydney, AUSTRALIA

Tagged , , , , , , , , , , , , , ,