จนกระทั่งทีมงานขอให้พวกเขาลืมตา โมเมนท์แรกที่เค้าเห็นตัวเองก็ประหลาดใจสุดๆ เพราะผิดจากความคาดหวังมากๆ โดยทุกๆอิริยาบถก็จะถูกช่างภาพในอีกด้านของกระจกถ่ายภาพเก็บไว้ โมเมนท์นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า “Carefree” เพียงแต่ไม่กี่วินาที ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมความเจ็บป่วยไปชั่วขณะ นี่แหละครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อแคมเปญว่า If only a second
ส่วนภาพที่ถ่ายไว้ก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ไปทำปุ๋ยนะครับ เค้าเอามาจัดทำเป็นนิทรรศการพร้อมกับ Photobook เพื่อระดมทุนเข้ามูลนิธิ Mimi Foundation เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อๆไป
มาอีกแล้ว สำหรับแคมเปญแนว Fun theory (ใช้ความสนุกในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คน) คงจะจำกันได้สำหรับแคมเปญหนึ่งที่ดัดแปลงบันไดบริเวณสถานีรถไฟใต้ดินเยอรมันให้กลายเป็นเปียโนขนาดยักษ์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาออกกำลังกายกันบ้าง
The European Initiative for Media Pluralism (เข้าใจว่าเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธืสื่อโดยเฉพาะ) เค้าก็เลยสร้างแคมเปญเชิงรุกขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำ Petition ครับ ด้วยการสร้างเว็บไซท์ขึ้นมา เว็บไซท์นี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสและแปลงรหัสของภาษาที่ใช้ปุ่ม Alt (พูดง่ายๆก็คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปมันอ่านไม่ออก)
และเพื่อให้การประท้วงเข้มข้นยิ่งขึ้น Celem European Women’s Lobby (ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มสมาคมอะไรสักอย่างที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิสตรี) มีแนวคิดที่ไปไกลกว่าแค่การออกมาประท้วงเย้วๆไปวันๆ กลุ่มสมาคมสตรีก็จึงได้ร่วมมือกับ DDB Madrid จัดทำแคมเปญขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากการปฏิรูปกฎหมายการทำแท้งของรัฐบาลนี้สำเร็จ เราจะได้เห็นอะไรบ้างในอนาคต
แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น
จนเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่หน้ากล้อง โปรดิวเซอร์ก็บอกว่าให้ทำตามที่ฉันสั่งนะ เริ่มด้วยการสั่งให้ “Run like a girl” ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่แสดงออกมาก็ดูเหยาะแหยะไม่มีพลัง จากนั้นก็มีคำสั่งให้ Fight like a girl, Throw like a girl (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ) ซึ่งก็ออกมาเหมือนกับอันแรกเลยครับ ดูเหยาะแหยะ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง เห็นแล้วหงุดหงิด