Monthly Archives: July 2014

Mimi Foundation: If only a second

If only a sec3

ถ้าวันนี้ผมขอให้คุณลองดีไซน์แคมเปญที่ทำเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง เป็นคุณ คุณอยากให้มันออกมาหน้าตาเป็นยังไงครับ?

ถ้าเป็นผม ผมวาดภาพเอาไว้ว่ามันจะต้องวาดภาพออกมาดราม่าแน่ๆ และเรื่องราวก็คงมาในธีม “ลมหายใจสุดท้ายที่สวยงาม” ด้วยการเชิญเหล่าผู้ป่วยมาแต่งตัวสวยๆหล่อๆ ถ่ายรูปเก็บไว้ทำ Photobook ขายแล้วก็ระดมทุนเพื่อไปช่วยผู้ป่วยคนอื่นๆ แน่นอนครับว่าภาพที่ออกมาแม้จะดูสวยงามแต่ก็คงหดหู่ชอบกล

แต่แคมเปญนี้มาเหนือกว่าภาพในจินตนาการของผมหลายเท่านัก จนผมบอกได้เต็มปากเลยว่าแคมเปญนี้เป็นแคมเปญที่ผมชอบมากที่สุดในงาน Cannes Lion 2014 แม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่ได้ Gold ก็เถอะ

เรื่องมันก็เหมือนที่ผมเกริ่นมาก่อนนั่นแหละครับ ถ้าจะทำแนวดราม่ามันก็คงไม่ผิดหรอก แต่ทำแล้วจะได้อะไรนี่สิเป็นคำถามสำคัญ

คือถ้าทำเปนแนวดราม่า ผลสุดท้ายลองนึกถึงผู้ป่วยว่าเค้าจะรู้สึกยังไง “ฉันสวยจัง ฉันพอใจ นี่คือความสุขสุดท้ายของฉัน แล้วฉันก็จะตายอย่างสงบ” ฟังดูเศร้าโคตรๆ แล้วเราต้องการแค่นี้เหรอ

แคมเปญนี้เพียงแค่พลิกมุมมองนิดหน่อยก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งมากครับ

มันมีคำกล่าวหนึ่งที่พูดถึงโมเมนท์ “Carefree” ซึ่งมันแปลเป็นไทยค่อยข้างยาก แต่อยากให้เข้าใจตรงกันว่ามันเป็นอารมณ์ที่รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย ไร้กังวล เหมือนคำโฆษณาผ้าอนามันยังไงยังงั้นและแหละ ไอ้โมเมนท์ที่ว่าเนี่ยมันสร้างผลเชิงบวกทางอารมณ์ให้กับผู้ป่วย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าผู้ป่วยอารมณ์ดี โอกาสที่จะรักษามะเร็งหายก็จะเพิ่มมากขึ้น

เค้าก็เลยจับเอาผู้ป่วยมาตั้งไว้หน้ากระจกสองด้าน และขอให้พวกเขาหลับตา จากนั้นทั้งช่างแต่งหน้าและช่างทำผมก็ละเลงกันเลยครับ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้น ผู่ป่วยเค้าก็คงคาดหวังว่าเมื่อฉันลืมตาแล้วฉันจะต้องสวยที่สุดในชีวิต แต่มันหักมุมตรงที่ว่าแคมเปญนี้เค้าไม่เอาครับ เค้ากลับแต่งหน้าทำผมให้ผู้ป่วยดูประหลาด ดูตลก ดูบ้าๆบอๆ

จนกระทั่งทีมงานขอให้พวกเขาลืมตา โมเมนท์แรกที่เค้าเห็นตัวเองก็ประหลาดใจสุดๆ เพราะผิดจากความคาดหวังมากๆ โดยทุกๆอิริยาบถก็จะถูกช่างภาพในอีกด้านของกระจกถ่ายภาพเก็บไว้ โมเมนท์นี้แหละครับที่เค้าเรียกว่า “Carefree” เพียงแต่ไม่กี่วินาที ที่ทำให้พวกเขาหลงลืมความเจ็บป่วยไปชั่วขณะ นี่แหละครับ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงตั้งชื่อแคมเปญว่า If only a second

ส่วนภาพที่ถ่ายไว้ก็ไม่ได้เก็บเอาไว้ไปทำปุ๋ยนะครับ เค้าเอามาจัดทำเป็นนิทรรศการพร้อมกับ Photobook เพื่อระดมทุนเข้ามูลนิธิ Mimi Foundation เพื่อนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยต่อๆไป

เห็นไหมครับว่าเพียงแค่พลิกมุมความคิดนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ได้มหาศาลมาก ผมว่ายากนะสำหรับการทำแคมเปญใดแคมเปญหนึ่งที่มีส่วนผสมของความดราม่าและฟีลกู้ดเอาไว้ด้วยกัน ดูกี่ครั้งก็ซึ้ง 🙂

Advertising Agency: Leo Burnett, Paris, France

If only a sec2 If only a sec4 If only a sec5 If only a sec1

Photo credit: adoftheworld

 

Tagged , , , , , , , , ,

Friendly Traffic: Piano

friendly traffic1

มาอีกแล้ว สำหรับแคมเปญแนว Fun theory (ใช้ความสนุกในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้คน) คงจะจำกันได้สำหรับแคมเปญหนึ่งที่ดัดแปลงบันไดบริเวณสถานีรถไฟใต้ดินเยอรมันให้กลายเป็นเปียโนขนาดยักษ์เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาออกกำลังกายกันบ้าง

แต่สำหรับแคมเปญนี้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ลงทุนเลยครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นที่บราซิล เจ้าแห่งแคมเปญอีกแล้วครับ มันมีปัญหาอยู่ว่าที่นี่มีคนเสียชีวิตจากการข้ามถนนโดยไม่ใช้ทางม้าลายในปีนึงก็ไม่น้อย (ในวิโอไม่ได้อ้างสถิติ) ซึ่งก็คงคล้ายๆกับบ้านเรานั่นแหละครับ

แต่คราวนี้เรื่องของเค้ามันจะต่างจากบ้านเรานิดนึงตรงที่ทุกๆวันอาทิตย์เค้าจะปิดถนนเลียบหาดเมืองริโอเดอจาเนโร สำหรับการพักผ่อนและสันทนาการ ทาง Friendly Traffic ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรณรงค์ด้ารความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เ้คาก็เลยใช้โอกาสนี้ในการส่งเมสเสจอะไรบางอย่างเพื่อบอกให้คนริโอรู้ว่า “พวกมึงควรจะข้ามถนนให้ถูกที่ถูกทางนะ”

แคมเปญนี้คิดโคตรง่ายเลยครับ เพียงเอาเปียโนมาตั้งตัวนึงบริเวณทางม้าลาย เวลามีคนข้ามทางม้าลาย มือเปียโนก็จะบรรเลงโน๊ตง่ายๆเพื่อให้คนที่ข้ามทางม้าลายหันมาสนใจ (เป็นยังไงต้องไปดูในคลิป) จนข้ามเสร็จก็จะมีทีมงานแจกลูกโป่งเพื่อเตือนให้ข้ามถนนให้ถูกที่ถูกทาง

ก็เป็นแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ จริงๆบ้านเราก็ทำได้ เพียงแค่เอาระนาดเอกมาตัวนึง มาทำแบบแคมเปญนี้ ได้ทั้งรณรงค์เรื่องการข้ามถนนและเรื่องการอนุรักษ์ดนตรีไทย สองเด้งกันเลยทีเดียว

ถ้ามีไอเดียเจ๋งๆก็คอมเมนท์ไว้ตรงด้านล่างได้เลยนะครับ ไม่แน่ว่าซักวัน ไอเดียของคุณอาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ 🙂

#idae4changTH

Advertising Agency: Camisa 10, Rio de Janeiro, Brazil

friendly traffic2 friendly traffic3 friendly traffic4 friendly traffic5 friendly traffic6

 

Tagged , , , , , , , ,

The European Initiative for Media Pluralism: ALTphabet

altphabet

ตั้งแต่เขียนบล็อกมาเกือบ 5 เดือน ยังไม่เคยเจอแคมเปญไหนที่พูดถึงเรื่องเสรีภาพของสื่อเลย จนกระทั่งได้มาเจอแคมเปญนี้ครับ

เรื่องมันเกิดขึ้นในประเทศแถบยุโรปครับ( แถบประเทศที่เรา(อย่างน้อยก็ผมคนนึง)ที่เชื่อว่าเข้มแข็งในประชาธิปไตย แต่ในบางแง่มุมก็อ่อนในเรื่องเสรีภาพของสื่อมวลชน กฎหมายปกป้องสิทธิสื่อมวลชนก็ดูจะบอบบาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ แม้จะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับแพร่กระจายไปสู้สาธารณชน แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้รัฐเข้ามาจัดการสื่อมวลชนได้ง่ายขึ้น อันไหนไม่ชอบใจก็สั่งปิดสั่งบล็อก

ลองจินตนาการว่าถ้าวันนี้คุณได้กลายเป็นสื่อมวลชน อยู่ในประเทศที่ไม่ค่อยให้เสรีภาพกับสื่อมากนัก และคุณอยากจะต่อสู้กับมัน คุณจะทำยังไง? ลองปิดถนนประท้วงดูมั้ย? หรือล่ารายชื่อเพื่อไปยื่นเรื่องกับผู้มีอำนาจแล้วบอกกับพวกเค้าว่า เฮ้ย กูไม่ยอมนะ? ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ขอให้เก็บไว้ในใจครับ

The European Initiative for Media Pluralism (เข้าใจว่าเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องสิทธืสื่อโดยเฉพาะ) เค้าก็เลยสร้างแคมเปญเชิงรุกขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำ Petition ครับ ด้วยการสร้างเว็บไซท์ขึ้นมา เว็บไซท์นี้จะทำหน้าที่ถอดรหัสและแปลงรหัสของภาษาที่ใช้ปุ่ม Alt (พูดง่ายๆก็คือมันเป็นภาษาที่มนุษย์ทั่วไปมันอ่านไม่ออก)

altphabet2

เวลาที่สำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ต้องการจะลงข่าวที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองก็จะใช้รหัสภาษานี้ในการเขียนบทความ ซึ่งก็รวมไปถึงมนุษย์ปุถุชนคนตัวเล็กๆอย่างเรา เวลาจะพูดแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมืองทีไรเราก็ไม่รู้ว่าจะมีบิ๊กบราเธอร์คอยจับจ้องอยู่หรือเปล่า เพื่อความอุ่นใจ ก็แปลงภาษาให้มันตรวจจับได้ยากขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน พร้อมกับแชร์ผ่านเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ได้ด้วย

ในเชิงผลลัพธ์ แคมเปญนี้ได้รับความสนใจจากสื่อต่างๆอย่างมาก ทั้งทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ รวมไปถึงโซเชี่ยลมีเดีย โดยที่เค้าเคลมว่าแคมเปญนี้เข้าถึงสายตาผู้ชมมากกว่า 8 ล้านคน ได้พื้นที่สื่อคิดเป็นมูลค่า 2.5 ล้านปอนด์ จากการที่แทบไม่ได้ลงทุนอะไรเลย ได้ผลตอบรับขนาดนี้นับได้ว่าไม่ธรรมดาครับ

http://www.altphabet.org/

altphabet3 altphabet4

Advertising Agency: Saatchi & Saatchi, Milan, Italy

Tagged , , , , , , , , ,

Celem European Women’s Lobby: Abortiontravel

Abortiontravel1

คงจะเป็นปัญหาโลกแตกพอๆกับ “ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?” สำหรับประเด็นปัญหาเรื่อง “การทำแท้งเสรี” ที่บ้านเราก็ถกเถียงกันมานับสิบๆปี บ้างก็อ้างเรื่องศีลธรรม บ้างก็อ้างเรื่องเศรษฐกิจและอัตราการเกิดอาชญากรรม ต่างฝ่ายก็ต่างมีเหตุผลที่หนักแน่น เรื่องนี้คงไปหาอ่านได้ตามบทความเก่าๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ผมจะเอาเคสที่เกี่ยวกับประเด็นการทำแท้งมาให้ดูกันครับ

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่สเปน เมื่อช่วงเดือนธันวาคมของปีที่แล้ว รัฐบาลสเปนได้ประกาศว่าจะปฏิรูปกฎหมายการทำแท้ง ให้มีลักษณะที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งนัยหนึ่งมันหมายถึงการที่รัฐบาลไม่เคารพต่อสิทธิสตรี เพราะผู้หญิงสเปนเค้าเชื่อว่าเค้าตัดสินใจเองได้ ว่าจะเอาออกหรือไม่เอาออก นี่มันท้องของเค้าแท้ๆ อยู่ดีๆก็จะออกกฎมาดื้อๆโดยไม่ถามผู้หญิงเลย ในที่สุดก็เป็นเรื่องจนถึงขนาดมีสื่อมวลชนบอกว่ารัฐบาลใช้อำนาจในทางที่มิชอบ มีการเดินเปลือยกายประท้วง บุกเข้าไปถึงในรัฐสภา เรียกได้ว่าสภาบ้านเรานี่ดูจิ๊บๆไปเลย นี่แหละครับพลังของผู้หญิง ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก

และเพื่อให้การประท้วงเข้มข้นยิ่งขึ้น Celem European Women’s Lobby (ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นกลุ่มสมาคมอะไรสักอย่างที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิสตรี) มีแนวคิดที่ไปไกลกว่าแค่การออกมาประท้วงเย้วๆไปวันๆ กลุ่มสมาคมสตรีก็จึงได้ร่วมมือกับ DDB Madrid จัดทำแคมเปญขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่า ถ้าหากการปฏิรูปกฎหมายการทำแท้งของรัฐบาลนี้สำเร็จ เราจะได้เห็นอะไรบ้างในอนาคต

พี่แกก็เลยจัดตั้งเป็นบริษัททัวร์ ที่ไม่ใช่ทัวร์ธรรมดา แต่เป็นบริษัททัวร์ที่จำอำนวยความสะดวกเรื่องการทำแท้งให้กับผู้หญิง ด้วยการขายแพ็คเกจทัวร์ทำแท้ง ไปฝรั่งเศสบ้าง อังกฤษบ้าง ประเทศซึ่งเคารพการตัดสินใจของสตรีมากกว่าที่สเปน (ถ้าอยากเห็นภาพต้องเข้าไปดูที่ http://www.abortiontravel.org/en/) ตั้งทั้งแบบที่เป็นหน้าร้านและออนไลน์ เพื่อชี้ให้เห็นว่าถ้าปฏิรูปกฎหมายเมื่อไหร่ จะได้เห็นเอเจนซี่ขายทัวร์แบบนี้แน่นอน

แต่เดี๋ยวก่อนครับ อย่าเพิ่งยิ้มครับ บริษัททัวร์นี้เค้าตั้งขึ้นมาหลอกๆครับ (แต่ทำโคตรจริงจังเลย) จุดประสงค์ของการตั้งเอเจนซี่ทัวร์นี้ขึ้นมาก็เพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปกฎหมายทำแท้งไปลงชื่อใน Petition เพื่อส่งชื่อคัดค้านการปฏิรูปไปยังรัฐบาลสเปน

ในแง่ของผลลัพธ์ ผมไม่แน่ใจว่ามีคนลงชื่อร่วมคัดค้านมากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยที่สุด ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา มีคนอย่างน้อย 38 ล้านคนที่ได้เห็นแคมเปญนี้ และในที่สุด แคมเปญนี้ก็เข้าไปถึงในสภาในที่สุด (ยังไม่มีรายงานว่าการปฏิรูปกฎหมายได้ล้มลงไปหรือไม่ แต่ก็น่าจะพอคาดเดาแนวโน้มได้)

ก็จบไปอีกแคมเปญ ที่ถึงแม้จะทำจำลองขึ้นมา แต่ก็ทรงประสิทธิภาพทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ แค่เปลี่ยนวิธีการสื่อสารอีกนิดหน่อย เราก็จะได้เห็นอะไรสนุกๆขึ้นอีกเยอะเลยครับ 😀

Advertising Agency: DDB, Madrid, Spain

 

 

Abortiontravel2 Abortiontravel3 Abortiontravel4

Tagged , , , , , , , , ,

[Event] Cannes Lion For Good 2014 at Ma:D

CFG1-01

จบไปเรียบร้อยสำหรับอีเวนท์แรกในชีวิต Cannes Lion For Good 2014 ฟัง Feedback คร่าวๆก็ได้หายใจยาวๆพร้อมกับอุบานเบาๆว่า “รอดแล้วกรู!”

แรกเริ่มเดิมทีงานนี้มันเกิดขึ้นจากที่ผมเขียนบล็อกแนวแคมเปญเพื่อสังคมมาสักพักหนึ่ง ยิ่งเขียนก็ยิ่งรู้สึกว่าถ้าได้ลองทำแคมเปญแบบนี้ในเมืองไทยบ้าง มันก็น่าสร้างมีปรากฏการณ์ใหม่ๆให้กับสังคมบ้านเรา ไปเจอแคมเปญที่ไหนมาก็จะเอามาเล่าให้ทุกๆคนที่ได้เจอฟัง จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่กิฟ (มาดี) ไม่รู้เกิดรำคาญหรือยังไงเพราะผมเล่าให้ฟังเกือบทุกวัน พี่เค้าก็เลยบอกว่างั้นลองจัดงานที่เล่าเรื่องแคมเปญดูดีมั้ย? เหมือนสวรรค์ดลใจ อะไรมันจะเข้าทางผมขนาดนี้!

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวกันหน่อย ผมชื่อปืนครับ จบรัฐศาสตร์การระหว่างประเทศที่ธรรมศาสตร์ และการที่ผมสนใจงานแคมเปญด้านสังคมมันแทบจะไม่ได้เฉี่ยวกับเรื่องที่ผมเรียนมาเลยซักกะนิด ผมทำกราฟฟิกไม่เป็น พูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังได้ตามงานโฆษณามาสม่ำเสมอ ก็เลยเริ่มเห็นเค้าว่างานโฆษณาหลายชิ้นถ้าเอามาปรับใช้กับประเด็นทางสังคมในบ้านเรา มันน่าจะไปได้ไกลและเปลี่ยนแปลงสังคมได้

สี่เดือนก่อนผมก็เลยเริ่มเขียนบล็อกที่รวมรวบเรื่องราวความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและแคมเปญเพื่อสังคม และก็ทำเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ผมก็ได้สร้างเพจขึ้นมาเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระจายข่าวสารแคมเปญทั้งหลายแหละ เชิญติดตามกันได้ที่ Naocrituss’s Blog ครับผม

———————————————————————————————————–

สำหรับงานในครั้งนี้ เราได้รับเกียรติจากพี่แกละ ซึ่งเป็น Associate Creative Director ที่ Ogilvy แล้วพี่เค้าก็เป็นครีเอทีฟเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลคานส์ไลออน 3 ปีซ้อน เริ่มตั้งแต่ Hair for hope (โรงพยาบาลจุฬาภรณ์), Cut to build (OLFA) และ Return of the ashes (กรมป่าไม้) ได้รับรางวัล Bronze จากเวทีคานส์ไลออนปีล่าสุด

มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า!

งานชิ้นแรก เป็นแคมเปญที่เกี่ยวกับการค้ากามผ่านเว็บแคม ซึ่งกำลังเป็นกระแสระบาดไปทั่วโลก เค้าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร เชิญชมครับ

แคมเปญชิ้นที่สอง พูดถึงมหาเศรษฐีชาวบราซิลคนหนึ่งที่วันดีคืนดีเกิดนึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้ แกบอกจะฝังเบนท์เล่ราคาครึ่งล้านเหรียญไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน บอกว่าจะเอาไปใช้ตอนแกตาย แกทำแบบนั้นทำไม ไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 3 พูดถึงเด็กน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะใช้วิธีแบบไหนที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องรู้สึกว่าต้องอยู่สู้กับโรคร้ายนี้เพียงแค่คนเดียว

แคมเปญที่ 4 แคมเปญนี้ผมชอบมากที่สุด เพราะโดยปกติเวลาเราพูดถึงผู้ป่วยมะเร็งเมื่อไหร่ ภาพการทำแคมเปญในหัวจะปิ๊งขึ้นมาทันทีว่าต้องเป็นแนว “ดราม่า” แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เค้ากลับพลิกแคมเปญนี้ให้มี mood and tone แบบ  Feel Good ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ต้องดูอย่างแรง

แคมเปญต่อมา พูดถึงเรื่องผลผลิตทางการเกษตรในระบบอุตสาหกรรม ที่ต้องมีการคัดไซส์คัดน้ำหนัก คำถามคือ ผักผลไม้ที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะ มันหายไปไหน?

แคมเปญต่อไป เป็นเรื่องของการเชื่อมโยงกลุ่มคนสองกลุ่มที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวให้มาเกี่ยวกันได้อย่างน่าทึ่ง คนหนึ่งอยากฝึกภาษา อีกคนนึงอยากมีใครสักคนคอยคุยด้วย ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบกัน ส่วนตัวผมชอบวิดีโอ เค้าทำออกมาได้อบอุ่นมากจริงๆ

แคมเปญที่ 7 ลืมภาพการขอรับบริจาคเงินตามสะพานลอยไปได้เลย เพราะครั้งนี้ เพียงแค่สเต็ปเดียวคุณก็ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว

แคมเปญต่อไป หุ่นที่เราเห็นตามร้านเสื้อผ้าดังๆทั้งหลาย นัยหนึ่งมันก็คือการตีกรอบเราว่าความสวยความหล่อมันต้องเป็นแบบนี้นะ แต่ลองมาดูแคมเปญนี้กันว่าเค้ามองความสวยความหล่อในแบบยังไง

แคมเปญที่ 9 ปลาสายพันธุ์หนึ่งที่กำลังทำลายระบบนิเวศในคาบสมุทรแคริบเบียน เราจะจัดการกับมันยังไงดี? บอกเลยเจ้าปลาสายพันธุ์นี้มันโคตรซวยจริงๆ เกิดมาแล้วเ_ือกอร่อย

แคมเปญที่ 10 มีเสืองฮือฮาเล็กน้อย ดูแล้วก็ได้แต่คิดว่าญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริงๆ เรื่องมันเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งที่ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย จะมีก็แต่นาข้าว ชาวบ้านเค้าจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างไร เชิญรับชม

แคมเปญที่ 11 ปัญหาไม่มีน้ำสะอาดไว้ดื่มนับเป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เราจะทำยังให้เค้าได้เข้าใจถึงการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาดไปพร้อมๆกับผลิตน้ำสะอาดไปในตัวด้วย

แคมเปญที่ 12 เห็นกันเป็นประจำสำหรับป้ายจราจร แต่จะมีสักกี่คนที่ปฏิบัติตาม แคมเปญนี้เค้าจึงสร้างป้ายจราจรที่ดาเมจสูงมาก แบบที่ว่าดูปุ๊ปแล้วก็ร้องอ๋อทันที

แคมเปญที่ 13 เป็นไปได้ไหมว่า ป้ายบิลบอร์ดธรรมดาจะสร้างประโยชน์ได้มากกว่าให้มันยืนตากแดดเฉยๆ ?

แคมเปญต่อไป อันนี้มาแนวอีโมชั่นค่อนข้างสูงครับ ที่พูดถึงเรื่องคนเกาหลีเหนือที่พยายามลี้ภัยมาที่เกาหลีใต้ แต่สุดท้ายก็ต้องถูกส่งตัวกลับ แน่นอนว่าเหมือนกับส่งคนเข้าโรงฆ่าดีๆนี่เอง แคมเปญนี้เค้าก็เลยทำนิทรรศการที่สื่อให้เห็นว่า ยังมีคนที่เรายังมองไม่เห็นอยู่นะ

แคมเปญต่อไปนะครับ “รอยสัก” กับการอาบแดดมันเป็นความเท่ที่มาคู่กันของวันรุ่นบราซิล โดยหารู้ไม่ว่าการตากแดดนานๆจะทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง จะทำยังไงให้วัยรุ่นหัวแข็งพวกนี้ได้เห็นถึงปัญหา เชิญชมจ้ะ

แคมเปญที่ 16 เด็กที่เกิดมาตาบอดมักเสียเปรียบเด็กทั่วไป การสูญเสียความสามารถด้านการมองเห็นทำให้เด็กถูกปิดกั้นจินตนาการไปส่วนหนึ่ง แคมเปญนี้จะทำยังไงให้เด็กตาบอด ได้รับการเสริมสร้างจินตนาการแม้จะมองไม่เห็น

แคมเปญที่ 17 คนไร้บ้านมักจะเป็นผู้ที่ต้องรอรับความช่วยเหลือ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเข้าได้สัมผัสประการณ์ของการเป็นผู้เลือกบ้าง

แคมเปญต่อไป คำพูดที่ไม่ทันยั้งคิดของพ่อแม่ อาจกลายเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงจิตใจเด็ก ซึ่งหากเด็กไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอก็มีแนวโน้มจะกลายเป็นอาชญากรในอนาคต แคมเปญนี้จะใช้วิธีการสื่อสารแบบไหน ลองไปดูกันครับ

แคมเปญที่ 19 ในแต่ละปี มหาสมุทรมักเป็นที่รองรับขยะจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก จะดีแค่ไหนถ้ามันนำมาทำเป็นกางเกงยีนส์ได้!!

แคมเปญที่ 20 การทรมานนักโทษ กาค้าอาวุธ ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นเรื่องที่แอมเนสตี้ติดตามและต่อสู้มาตลอด แต่ในครั้งนี้เราจะสร้างสัญลักษณ์ที่ซ่อนสิ่งที่มีความหมายอยู่ได้อย่างไร

แคมเปญที่ 21 Mike Ebeling ได้แรงบันดาลใจจากการอ่านหนังสือ บินตรงไปยังแอฟริกาเพื่อสร้างห้องแล็บ 3D printer ให้กับชาวแอฟริกาที่พิการ ขอคารวะให้กับความมุ่งมั่น

แคมเปญที่ 22 การปลูกพืนออร์แกนิคและการเลี้ยงสัตว์แบบเปิดกำลังเป็นกระแส Chipotle ที่เป็นผู้นำผลิตอาหารที่ใช้แนวคิดนี้จึงได้สร้างสื่อที่ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญ

แคมเปญแถม สะพาน Mapo ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในเกาหลีใต้ เค้าจะใช้วิธีไหนที่จะทำให้คนเปลี่ยนความคิด และกลับไปหาคนที่เรารักที่รอเราอยู่ที่บ้าน

แคมเปญสุดท้าย แม่ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬาชื่อก้องโลกทั้งหลาย

 

 

 

Tagged , , , , , , , , , , , , , , ,

FUNDACIÓN PANIAMOR: INCOMPLETE BIOS

incomplete bios1

ไม่รู้เป็นอะไร เวลาที่ได้อ่านแคมเปญที่เกี่ยวข้องกับด้านการเมือง ผมจะรู้สึกสนุกทุกครั้ง ความรู้สึกมันคงคล้ายๆกันกับขี่ม้าออกไปรบกับคนขี่ช้าง ยิ่งอีกฝ่ายหนึ่งตัวใหญ่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกท้าทาย

เรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นที่คอสตาริกาครับ ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาประเทศเค้ามาการเลือกตั้งประธานาธิบดีกันครับ ซึ่งก็คงเดาได้ไม่ยากว่าในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทั้งหลายก็ต่างประโคมนโยบายกันอย่างเมามันเพื่อดึงดูดฐานเสียง ก็ทั่วๆไปครับ นโยบายเพลนๆอย่างเพิ่มงาน ลดความยากจน กระตุ้นเศรษฐกิจบลาๆๆ  ซึ่งก็ได้โปรโมทผ่านทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

แต่คราวนี้เรื่องที่ไม่ปกติมันเกิดขึ้นตรงที่ว่า Paniamor องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนเด็กและวัยรุ่นเกิดอยากจะผลักดันกฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กให้เข้าไปอยู่ในนโยบายของเหล่าผู้ลงสมัครทั้งหลาย

แต่น่าเสียดายครับ เด็กพวกนี้อายุไม่ถึงสำหรับการเลือกตั้ง มันก็เลยทำให้เหล่าผู้สมัครไม่สนใจประเด็นปัญหานี้ ซึ่งแน่นอนว่าในช่วงการโปรโมทแคมเปญการเลือกตั้ง กฎหมายคุ้มครองสิทธิเด็กก็ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเค้าแน่นอน

เป็นคุณ คุณจะทำยังไงให้เหล่าผู้สมัครทั้งหลายหันมาสนใจประเด็นปัญหานี้ด้วย?

แคมเปญนี้ฉลาดมากครับ เค้าเลือกใช้เครื่องมือหนึ่งที่เหล่าผู้สมัครก็ใช้ในการโปรโมทนโยบายของพวกเขาครับ “Wikipedia” ครับ

(สำหรับเมืองไทยผมไม่ค่อยแน่ใจว่าถึงช่วงใกล้เลือกตั้ง จะมีใครจะเข้าไปดูนโยบายผู้สมัครในวิกิพีเดียมั้ย แต่ให้เข้าใจว่าที่คอสตาริกามันคงจะเวิร์คครับ)

ลองนึกภาพตามถึงรูปภาพ ประวัติ และนโยบายที่เหล่าผู้สมัครนั้นใส่ลงไปในวิกิพีเดีย แต่แคมเปญนี้จะเพิ่มเข้าไปอีก Category หนึ่งในส่วนของนโยบาย นโยบายที่ว่าด้วย “การปกป้องคุ้มครองเด็ก” พร้อมตั้งคำถามว่าผู้สมัครคนนั้นจะทำอะไรกับเรื่องนี้มั้ย แล้วก็ปล่อยให้มันว่างเปล่าเหมือนกับรอคนมาเติมคำ เพื่อที่จะให้คนทั่วไปได้รู้ว่าผู้สมัครเหล่านี้ไม่ได้สนใจเรื่องเด็กเลยแม่แต่น้อย

จนกระทั่งแคมเปญได้กลายเป็นไวรัล เพียงในไม่กี่ชั่วโมง วิกิพีเดียก็ได้บล็อคไม่ให้เข้าไปแก้ไขประวัติของผู้สมัคร แต่ไม่ทันแล้วครับ แคมเปญนี้ได้เริ่มจุดประกายให้คนหันมาสนใจเรื่องนี้เรียบร้อยครับ ได้ออกทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อออนไลน์

ไม่ถึงเดือนของการรันแคมเปญ ประวัติของผู้สมัครลงรับเลือกตั้งทุกคนก็เพรียบพร้อมไปด้วยนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็ก ราวเสกวับขึ้นมาในพริบตา จนกระทั่งการเลือกตั้งสิ้นสุด Luis Guillermo ประธานาธิบดีคนล่าสุดของคอสตาริก้าก็ได้ผลักดันนโยบายคุ้มครองสิทธิเด็กเข้าไปอยู่ในแผนงานของรัฐบาลในที่สุด

ใครจะไปคิดละครับว่าแคมเปญที่แทบไม่ได้ใช้เงินซักบาทซักสตางค์ มันจะสร้างผลกระทบได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ นับเป็นมิติใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับการทำแคมเปญเพื่อก้าวไปสู่นโยบายรัฐ ที่องค์กรทั้งหลายที่ทำงานด้านสังคมควรศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

Advertising Agency: LEO BURNETT COSTA RICA San Jose, COSTA RICA

incomplete bios2 incomplete bios3

 

Tagged , , , , , , , , , ,

Brazilian Association of Organ Transplant: Firefighter and Lifeguard

BAOT1 BAOT2

You can do the same. Become an organ donor and save up to 7 lives. Tell your family.

 

Advertising Agency: Leo Burnett Tailor Made, Sao Paulo, Brazil

Tagged , , , , , , , , , ,

La Voz del Interior: Life Signs

La voz life signs

Advertising Agency: Ogilvy & Mather, Buenos Aires, Argentina

Tagged , , , , ,

Always: #LikeAGirl

likeagirl1

“เหยาะแหยะแบบนี้ไปเอากระโปรงมาใส่ซะ!”  “ร้องไห้อย่างกะเป็นผู้หญิงไปได้” คำพวกนี้คุ้นๆกันบ้างไหมครับ?

แหม่ จั่วมาขนาดนี้แล้วก็คงรู้กันนะว่าวันนี้เรามีแคมเปญเกี่ยวกับประเด็นทางด้าน “เพศ” มาให้ได้ดูกัน

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า Always ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ขายของเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและความงามของคุณผู้หญิง ซึ่งเป็นเครือหนึ่งในยักษ์ใหญ่ P&G คงจะเดาได้ไม่ยากว่าเมื่อเชื่อมโยงตัวแบรนด์เข้ากับการทำแคมเปญอะไรซักอย่างแล้ว ประเด็นเรื่อง “เพศ” ก็น่าจะเป็นประเด็นที่เป็นตัวชูโรงที่ดีที่สุดสำหรับการทำแบรนด์

แคมเปญนี้เป็นแคมเปญเชิงทดลองครับผม เริ่มต้นด้วยการเชิญ “ใครก็ไม่รู้” ทั้งหญิงและชายเข้ามาในสตูดิโอ เพื่อให้มาถ่ายทำอะไรบางอย่างที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ยังไม่รู้สู้ดีนัก และสัมภาษณ์เป็นรายบุคคลไป

จนเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่หน้ากล้อง โปรดิวเซอร์ก็บอกว่าให้ทำตามที่ฉันสั่งนะ เริ่มด้วยการสั่งให้ “Run like a girl” ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่าสิ่งที่แสดงออกมาก็ดูเหยาะแหยะไม่มีพลัง จากนั้นก็มีคำสั่งให้ Fight like a girl, Throw like a girl (ขออนุญาตไม่แปลนะครับ) ซึ่งก็ออกมาเหมือนกับอันแรกเลยครับ ดูเหยาะแหยะ มุ้งมิ้งงุ้งงิ้ง เห็นแล้วหงุดหงิด

การทดลองจาคนกลุ่มแรกจบไป ทีมงานก็ได้เชิญให้เด็กสาวที่น่าจะอายุยังไม่เกิน 10 ปีมาทำในแบบเดียวกันกับคนชุดแรกครับ แต่สิ่งที่แสดงออกมามันต่างกันลิบลับ (ต้องดูวิดีโอครับ) พลังมาเต็มมาก ท่าทางที่แสดงออกดูทะมัดทะแมง ไม่มีความเหยาะแหละหลงเหลือให้เห็นเหมือนกับการทดลองกับกลุ่มคนชุดที่แล้ว

จุดพีคของแคมเปญมันอยู่ที่ต้องนี้ครับ! เมื่อให้คนกลุ่มแรกได้เห็นการแสดงท่าทางของเด็กสาวในกลุ่มที่สอง ต่างก็ยอบรับกันเป็นเสียงเดียวกันว่า wording ของคำว่า “(something) like a girl” ภาพในจินตนาการของพวกเขา มันมีความหมายที่แสดงถึงความอ่อนแอ ดูถูกเหยียดหยัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีความหมายในเชิงที่ด้อยกว่า การแสดงออกของคนกลุ่มแรกจึงออกมาในลักษณะเหยาะแหยะ ไร้พลัง ซึ่งในครั้งแรกที่ได้ดูก็ “เออว่ะ” คำบางคำมันแฝงไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยัน แต่เราก็พูดมันออกไปโดยไม่ได้คิด หรือบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเลย

ก็นับได้ว่าแคมเปญนี้ได้หยิบเอา wording บางอย่างมาพูดมาสื่อสารได้อย่างน่าสนใจและเห็นได้ชัดเจนมาก ซึ่งผมคิดว่าในเมืองไทยก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะผมก็เคยเห็นเคยได้ยินคำเหยียดเพศเหล่านี้ออกมาจากปากของผู้หญิงเสียเอง ดังนั้นครั้งต่อไปจะคิดจะพูดอะไรก็ต้องระวังกันนิดนึงนะครับ เพราะผู้หญิงที่เค้าซีเรียสเรื่องนี้ก็เค้าอาจจะไม่ตลกกับเรา จะพากันเสียบรรยากาศการสนทนากันซะเปล่าๆนะตัวเธอว์

Advertising Agency: Leo Burnett Chicago

likeagirl2 likeagirl3

 

 

Tagged , , , ,