วันนี้มีอะไรให้คิดเล่นๆกันหน่อยครับ ผมอยากให้คุณลองลิสต์ปัญหาที่เกี่ยวกับ “โรคร้าย” ที่มีอยู่บนโลกและอยู่ในสเกลที่ยิ่งใหญ่พอที่คนที่คนทั่วไปน่าจะให้ความสนใจ ………………… สำหรับผมนะครับ โรคเอดส์ มะเร็ง โรคหัวใจ ไทฟอยด์ บิด ไข้เลือดออก โอ้ยย สารพัดสารพันปัญหา ที่ลิสต์ไว้ก็ดูเหมือนจะครอบคลุมเกือบทุกโรคที่เป็นประเด็นปัญหาสุขภาพในระดับโลกแล้วใช่มั้ยครับ พยักหน้าสิครับ โอเคครับ ขอบคุณมากครับ……………………………. แต่น่าเสียดายครับ จั่วมาขนาดนี้แล้วก็คงรู้นะครับว่ามันยังไม่ครบ
เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “โรคปากแหว่งเพดานโหว่” กันมาบ้างนะครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้ผมก็ยังสงสัยเหมือนกันนะว่าโรคนี้มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วโรคนี้มันเป็น “โรค” จริงๆมั้ย มันเป็นมาจากกรรมพันธุ์รึเปล่า หรือเป็นความผิดปกติที่เกิดในระหว่างคลอด คิดว่าหลายๆคนคงน่าจะสงสัยเหมือนผม เรารู้จักชื่อของมัน แต่เราไม่รู้ว่าโรคนี้มันสร้างผลกระทบให้กับคนที่เป็นมากแค่ไหน
มีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจมาให้ดูกันครับ
บนโลกใบนี้มีเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งอยู่ในระดับหลักล้านนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ เด็กเหล่านี้ต้องคอยหลบหลังผู้ใหญ่หรือหาอะไรมาบังหน้าเพราะอับอายในรูปลักษณ์ภายนอกของตนตลอดเวลา สำหรับเด็กที่ยังไม่ประสาคงเจ็บปวดมากที่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อีกทั้งยังมีสถิติบ่งชี้ว่าหนึ่งในสิบของเด็กที่เป็นโรคนี้ ตายตั้งแต่อายุยังไม่ครบหนึ่งขวบ
แต่ช้าก่อนครับ มันไม่ได้เศร้าขนาดนั้น เพราะโรคนี้สามารถแก้ได้ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างง่ายที่ใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาที ก็จะทำให้เด็กคนนั้นกลับมามีชีวิตที่ปกติได้
แต่ก็อย่างที่รู้กันครับ คนรู้จักโรคนี้จริงๆมีน้อยมาก และมีเด็กหลายคนที่อยู่กับครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่สามารถเข้าถึงการผ่าตัดได้ ทำให้โรคนี้ไม่ค่อยมีเม็ดเงินมาถึงมากนัก เมื่อเทียบกับเม็ดเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญที่ใช้จ่ายกับเรื่องสาธารณประโยชน์ โรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้รับเงินจากเงินก้อนนี้ในสัดส่วนที่น้อยมาก Operation Smile India องค์การที่ทำงานหาเงินมาช่วยผ่าตัดศัลยกรรมโรคปากแหว่งโดยเฉพาะจึงมองว่าจะต้องทำให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกให้ได้ เมื่อนั้นก็จะได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชน มูลนิธิ หรือถึงขี้นเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายก็เป็นได้
แต่เดี๋ยวก่อนครับ (พล็อตทวิสต์อีกครั้ง) เราคงน่าจะรู้ว่าองค์กรที่ทำงานด้านนี้มักจะไม่มีเม็ดเงินสำหรับการโปรโมทหรือโฆษณามากนัก เขาจึงเริ่มจากสิ่งเล็กๆที่สุดที่เราสามารถมีส่วนร่วมได้ “โลโก้” ซึ่งวิธีสื่อสารของเขามันง่ายมาก เพียงแค่พิมพ์ :{to:) (จากปากแหว่งสู่รอยยิ้ม) เพียงเท่านี้คุณก็มีส่วนร่วมกับการช่วยให้โรคนี้เป็นที่รู้จักดีขึ้นแล้วครับ
ผมเป็นคนชอบส่งยิ้มนะ และก็เชื่อว่าคุณก็คงเหมือนกัน แต่การส่งยิ้มครั้งนี้จะเป็นอะไรที่มากกว่า แคมเปญนี้มีคนร่วมส่งยิ้มผ่านทวิตเตอร์มากกว่า 2 หมื่นครั้ง แล้วก็ได้เหล่าเซเลปมาเล่นด้วยกว่า 100 ชีวิต ซึ่งอัพเดตจากการรายงานผลแคมเปญล่าสุดสุดคือแคมเปญนี้มีคนเห็นมากกว่า 30 ล้านครั้ง (น่าเสียดายที่ในแพลตฟอร์มอื่นเล่นไม่ได้ เพราะมันจะขึ้นเป็น Emoji)
ในเชิงผลลัพธ์อาจจะฟังดูเข้าถึงคนได้น้อยนะครับ แต่ถ้าเทียบกับการลงทุน(ที่แทบจะไม่ได้ลงทุน) ก็นับว่าคุ้มค่ามหาศาลครับ
Advertising Agency:Ogilvy & Mather, Mumbai, India