Category Archives: Charity

Operation Smile India: :{to:) #Clefttosmile

Cleft to smile

วันนี้มีอะไรให้คิดเล่นๆกันหน่อยครับ ผมอยากให้คุณลองลิสต์ปัญหาที่เกี่ยวกับ “โรคร้าย” ที่มีอยู่บนโลกและอยู่ในสเกลที่ยิ่งใหญ่พอที่คนที่คนทั่วไปน่าจะให้ความสนใจ ………………… สำหรับผมนะครับ โรคเอดส์ มะเร็ง โรคหัวใจ ไทฟอยด์ บิด ไข้เลือดออก โอ้ยย สารพัดสารพันปัญหา ที่ลิสต์ไว้ก็ดูเหมือนจะครอบคลุมเกือบทุกโรคที่เป็นประเด็นปัญหาสุขภาพในระดับโลกแล้วใช่มั้ยครับ พยักหน้าสิครับ โอเคครับ ขอบคุณมากครับ……………………………. แต่น่าเสียดายครับ จั่วมาขนาดนี้แล้วก็คงรู้นะครับว่ามันยังไม่ครบ

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อ “โรคปากแหว่งเพดานโหว่” กันมาบ้างนะครับ ครั้งแรกที่ผมได้ดูแคมเปญนี้ผมก็ยังสงสัยเหมือนกันนะว่าโรคนี้มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วโรคนี้มันเป็น “โรค” จริงๆมั้ย มันเป็นมาจากกรรมพันธุ์รึเปล่า หรือเป็นความผิดปกติที่เกิดในระหว่างคลอด คิดว่าหลายๆคนคงน่าจะสงสัยเหมือนผม เรารู้จักชื่อของมัน แต่เราไม่รู้ว่าโรคนี้มันสร้างผลกระทบให้กับคนที่เป็นมากแค่ไหน

มีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจมาให้ดูกันครับ

บนโลกใบนี้มีเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งอยู่ในระดับหลักล้านนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆแน่ เด็กเหล่านี้ต้องคอยหลบหลังผู้ใหญ่หรือหาอะไรมาบังหน้าเพราะอับอายในรูปลักษณ์ภายนอกของตนตลอดเวลา สำหรับเด็กที่ยังไม่ประสาคงเจ็บปวดมากที่ถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อนๆ อีกทั้งยังมีสถิติบ่งชี้ว่าหนึ่งในสิบของเด็กที่เป็นโรคนี้ ตายตั้งแต่อายุยังไม่ครบหนึ่งขวบ

แต่ช้าก่อนครับ มันไม่ได้เศร้าขนาดนั้น เพราะโรคนี้สามารถแก้ได้ด้วยการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างง่ายที่ใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาที ก็จะทำให้เด็กคนนั้นกลับมามีชีวิตที่ปกติได้

แต่ก็อย่างที่รู้กันครับ คนรู้จักโรคนี้จริงๆมีน้อยมาก และมีเด็กหลายคนที่อยู่กับครอบครัวที่มีฐานะยากจน ไม่สามารถเข้าถึงการผ่าตัดได้ ทำให้โรคนี้ไม่ค่อยมีเม็ดเงินมาถึงมากนัก เมื่อเทียบกับเม็ดเงิน 5 หมื่นล้านเหรียญที่ใช้จ่ายกับเรื่องสาธารณประโยชน์ โรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้รับเงินจากเงินก้อนนี้ในสัดส่วนที่น้อยมาก Operation Smile India องค์การที่ทำงานหาเงินมาช่วยผ่าตัดศัลยกรรมโรคปากแหว่งโดยเฉพาะจึงมองว่าจะต้องทำให้โรคนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกให้ได้ เมื่อนั้นก็จะได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชน มูลนิธิ หรือถึงขี้นเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายก็เป็นได้

แต่เดี๋ยวก่อนครับ (พล็อตทวิสต์อีกครั้ง) เราคงน่าจะรู้ว่าองค์กรที่ทำงานด้านนี้มักจะไม่มีเม็ดเงินสำหรับการโปรโมทหรือโฆษณามากนัก เขาจึงเริ่มจากสิ่งเล็กๆที่สุดที่เราสามารถมีส่วนร่วมได้ “โลโก้” ซึ่งวิธีสื่อสารของเขามันง่ายมาก เพียงแค่พิมพ์ :{to:) (จากปากแหว่งสู่รอยยิ้ม) เพียงเท่านี้คุณก็มีส่วนร่วมกับการช่วยให้โรคนี้เป็นที่รู้จักดีขึ้นแล้วครับ

ผมเป็นคนชอบส่งยิ้มนะ และก็เชื่อว่าคุณก็คงเหมือนกัน แต่การส่งยิ้มครั้งนี้จะเป็นอะไรที่มากกว่า แคมเปญนี้มีคนร่วมส่งยิ้มผ่านทวิตเตอร์มากกว่า 2 หมื่นครั้ง แล้วก็ได้เหล่าเซเลปมาเล่นด้วยกว่า 100 ชีวิต ซึ่งอัพเดตจากการรายงานผลแคมเปญล่าสุดสุดคือแคมเปญนี้มีคนเห็นมากกว่า 30 ล้านครั้ง (น่าเสียดายที่ในแพลตฟอร์มอื่นเล่นไม่ได้ เพราะมันจะขึ้นเป็น Emoji)

ในเชิงผลลัพธ์อาจจะฟังดูเข้าถึงคนได้น้อยนะครับ แต่ถ้าเทียบกับการลงทุน(ที่แทบจะไม่ได้ลงทุน) ก็นับว่าคุ้มค่ามหาศาลครับ

Advertising Agency:Ogilvy & Mather, Mumbai, India

 

Tagged , , , , , , , , , , ,

GERMAN RED CROSS: GIVE BLOOD. GIVE POWER.

Give Blood Give Power1

แคมเปญนี้เกิดขึ้นที่เยอรมันครับ ในแต่ละวันของที่นั่นเค้ามีปัญหาคล้ายกันกับบ้านเรานั่นก็คือเลือดไม่พอ ซึ่งต้องการขอรับบริจาคเพิ่มอีกมหาศาล เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ กาชาดเยอรมันจึงคิดว่าควรจะต้องทำอะไรสักอย่าง โดยที่คิดไปไกลกว่าแค่การรับบริจาคเลือกแบบปกติทั่วไป

แคมเปญนี้เค้าโฟกัสที่เด็กตัวน้อยๆครับ เพราะเค้ามองเห็นว่าจริงๆแล้วเด็กไม่ได้ต้องการแค่ “เลือด” แต่พวกเขาต้องการ “พลัง” สำหรับการต่อสู้กับโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่ ลองคิดเล่นๆกันนะครับ ถ้าเป็นคุณ คุณจะหา “พลัง” จากที่ไหน?……………………………….หมดเวลาครับ

แคมเปญนี้ได้เชิญนักฟุตบอลชื่อดังให้มาบริจาคเลือดครับ พอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับ นักฟุตบอลเหล่านี้ ในสายตาของเด็กๆก็เปรียบเสมือนฮีโร่ที่มีตัวตนจริงๆอยู่บนโลก แคมเปญนี้เค้ามุ่งหวังอยู่สองอย่างครับ 1. อยากสร้างตัวอย่างให้กับนักฟุตบอลโดยเฉพาะมือสมัครเล่น ให้ก้าวข้ามความกลัว(เข็ม) และหันมาบริจาคเลือดเช่นกัน และ 2. เด็กน้อยที่รักษาตัวอยู่ จะได้มีกำลังใจสู้กับโรคร้าย เพราะเค้ารู้ว่าเลือดของฮีโร่ ตอนนี้กำลังไหลไปตามทุกอณูในร่างกายของเขาเรียบร้อยแล้ว

และผลลัพธ์ก็เป็นไปได้สวยครับ เพราะเด็กเยอรมันแทบทุกคนมักจะเป็นแฟนบอลตัวยงและมีฮีโร่อยู่ในใจอยู่แล้ว ถุงเลือดที่ได้รับบริจาคมาก็จะมีรูปภาพนักบอลคนนั้นแปะอยู่ให้เด็กเห็นกันจะจะเลยว่าได้มาจากใคร ลองจินตนาการดูสิครับว่าถ้าคุณเป็นเด็กตัวน้อยคนนั้น แล้ววันหนึ่งคุณได้รับเลือดจากคนที่คุณมองว่าเขาเป็นฮีโร่ เด็กคนนั้นจะมีกำลังใจฮึดสู้มากแค่ไหน

ในเชิงตัวเลข แคมเปญนี้ได้เป็นที่พูดถึงทั้งสื่อกระแสหลักอย่างทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์ ลามไปถึงเว็บไซท์ข่าว บล็อก และวิดีโอแพลตฟอร์มอื่นๆอีกเกือบ 500 เว็บไซท์ มีคนได้รับชมแคมเปญนี้มากถึง 18 ล้านคน และได้พื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่าถึง 1.5 ล้านยูโร และในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการเริ่มแคมเปญก็มีนักฟุตบอลหน้าใหม่เข้ามาสมัครเป็นผู้บริจาคเลือกมากถึง 9,000 คน!! และแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเด็กน้อยอีกนับพันนับหมื่นชีวิตจะได้มีกำลังสู้กับโรคร้ายต่อไป ด้วยเลือดของฮีโร่ที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกเขา

นึกถึงเมืองไทยแล้วก็น่าทำมั่งนะครับ ว่าแต่…..ฮีโร่ของเด็กไทยสมัยนี้เค้าเป็นใครกันนะ?

Advertising Agency: JUNG von MATT Hamburg, GERMANY

Give Blood Give Power2 Give Blood Give Power3

Tagged , , , , , , , , , ,

ARRELS FUNDACIÓN: HOMELESSFONTS

HOMELESSFONTS5

ขนลุกใช้ได้เลยแคมเปญนี้

สำหรับแคมเปญนี้ เค้าตั้งใจจะแก้ปัญหาที่เรียกได้ว่าติดอันดับยอดฮิตที่สุดปัญหาหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งก็คือ “ปัญหาคนไร้บ้าน” ครับ

โดยปกติแล้ว การระดมเงินเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้านมักจะออกมาในลักษณะ “เยียวยา” “รักษา” และ “ดูแลไม่ให้แย่ไปกว่านี้” ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ครับว่าปัญหานี้มันแก้ยากมาก เพราะมีปัจจัยซับซ้อนมากมายเกินกว่าใครหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะแก้ไขได้โดยลำพัง แต่ผมค่อนข้างแปลกใจที่แคมเปญนี้มองไปไกลกว่านั้น เพราะเค้าอยากจะหาวิธีสร้างรายได้ในระยะยาวให้กับมูลนิธิ โดยไม่ต้องรอแต่เงินบริจาคหรือรอรับเงินสนับสนุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว แคมเปญที่ว่าก็คือ “HOMELESSFONTS”

แคมเปญนี้มองเห็นปัญหาว่า ระหว่างที่คนเราเดินผ่านคนไร้บ้านจะมีโมเมนท์หนึ่งที่เราจะจำได้ชัดเลยว่านี่แหละคือคนไร้บ้าน ที่มาเหมือนแพ็คเกจยังไงยังงั้น ชายหนุ่มวัยกลางคน ดูซกมก ไม่โกนหนวดเครา เสื้อผ้ามอซอ สายตาอันแสนสิ้นหวัง และที่สำคัญที่สุด “กระดาษลังหนึ่งแผ่นที่มาพร้อมกับลายมือยึกยือ” ที่เขียนข้อความขอรับเงินบริจาค

ถ้าเป็นเราก็คงเดินผ่านแบบไม่ใยดี แต่แคมเปญนี้ไม่ครับ เขากลับมองว่ามีบางอย่างที่น่าสนใจ บางอย่างที่สะท้อนเอกลักษณ์และความเป็นมนุษย์ได้ดีที่สุด  “ลายมือ”  ไงครับ บางคนมีลายเส้นของความมีพลัง บางคนลายเส้นอ่อนนุ่มดูสบายตา เรียกได้ว่าลายมือนี่แหละที่สะท้อนบุคลิกของคนผู้นั้นได้อย่างน่าสนใจ

เมื่อทีมงานเห็นความน่าสนใจดังนี้ จึงได้เชิญคนไร้บ้านมาวาดลายมือลงบนกระดาษ บางคนทำทีมงานอึ้งไปตามๆกันเพราะความสามารถแบบนี้นี่มันชั้นครูชัดๆ (ดูวิดีโอครั้งแรกรู้สึกขนลุกมาก ในความคิดของผม ลายมือคนนี้ดูมีสหน่ห์มากจริงๆ) เมื่อเขียนตัวอักษาเสร็จเรียบร้อย ทีมงานก็จะแสกนเข้าคอมพิวเตอร์ ปรับแต่งเล็กน้อยแล้วส่งขึ้นไปขายบนออนไลน์ โดยมีพวกแบรนด์ใหญ่ๆเป็นคนประเดิมซื้อฟอนท์ไปใช้ในองค์กร และเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้ามาซื้อฟอนท์ได้ผ่านเว็บไซท์ HomelessFonts.org

และผลลัพธ์ก็น่าสนใจมากครับ เพราะมีคนเข้ามาในเว็บไซท์ถึง 200,000 กว่าคน มีคนดาวน์โหลดฟอนท์ไปมากกว่า 30,000 ครั้ง ส่วนมูลนิธิก็ได้รับเงินบริจาคผ่านฟอนท์นี้ถึง 37% เพื่อนำไปใช้ในสาธารณประโยชน์ของคนไร้บ้าน

อย่าลืมดูวิดีโอด้วยนะ 😀

Advertising Agency: THE CYRANOS MCCANN WORLDGROUP EUROPE BARCELONA, SPAIN

HOMELESSFONTS1 HOMELESSFONTS2 HOMELESSFONTS3 HOMELESSFONTS4 HOMELESSFONTS6

 

Tagged , , , , , , , , , , ,

ABTO: BENTLEY BURIAL

Bentley Burial

เรื่องมันมีอยู่ว่าที่บราซิลเค้ามีอภิมหึมามหาเศรษฐีคนหนึ่งนามว่า Chiquinho Scarpa อีตาลุงคนนี้อยู่ดีๆก็เกิดนึกครึ้มอะไรขึ้นมาไม่รู้ เกิดมาประกาศผ่านเฟซบุคของแกว่า ฉันจะฝังรถ Bentley คนละครึ่งล้านเหรียญ เผื่อว่าฉันตาย ฉันจะได้เอาไปใช้ด้วยนะ (เข้าใจว่าแกคงได้แรงบันดาลใจมาจากฟาโรห์อียิปต์)

หลังจากโพสได้ไม่นาน ชาวบราซิลที่เป็นแฟนคลับแกรวมถึงสื่อมวลชนกระแสหลักทั้งหลายก็รุมกระหน่ำแกอย่างเมามัน บ้างก็ออกมาดาแกว่าบ้ามั่ง เพี้ยนบ้าง ไอ้ห้าร้อยเอ้ย ตั้งครึ่งล้านเหรียญทำไม_ึงเอาไปขาย เอาเงินไปทำอย่างอื่นหรือช่วยสังคมได้ตั้งเยอะ จนกระทั่งมีรายการทีวีเชิญแกไปออก แกก็ประกาศอย่างหน้าตาเฉยว่าวันศุกร์ 11 โมงจะเริ่มพิธีฝังรถนะ (มีนัดแนะซะด้วย)

จนเมื่อถึงวันจริง พิธีฟัง Bentley ราคาครึ่งล้านก็ดำเนินไปตามปกติ จนกระทั่งลุงแกไม่รู้เกิดนึกเสียดายขึ้นมาหรือยังไง บอกให้หยุดทำพิธีซะงั้น แล้วก็เชิญผู้ร่วมงานและสื่อมวลชนเข้าไปในบ้าน

จนกระทั่งตอนสุดท้าย เกมมันเกิดพลิกขึ้นมาครับ เมื่อตาลุงคนนี้เข้าไปยืนหลังโพเดียมและกล่าวสปีชสั้นๆในทำนองว่า “คุณอาจจะคิดว่าการที่ผมฝัง Bentley มันดูเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตก แต่เชื่อไหมว่ายังมีคนบราซิลอีกจำนวนมาก กลับฝังสิ่งที่ค่าที่สุดที่มีค่ากว่า Bentley ของผมเสียอีก สิ่งเหล่านั้นคือ ‘อวัยวะ’ ของพวกคุณไงครับ โคตรน่าเสียดายและบ้าบอคอแตกกว่าเรื่องของผมตั้งเยอะ”

เพียงเท่านั้นแหละครับ จากตาลุงมหาเศรษฐีบ้าพลังก็กลับกลายมาเป็นพ่อพระทันตา เมื่อแกได้ขอให้ประชนชาวบราซิลร่วมกันบริจาคอวัยวะ สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับอีกหลายๆชีวิต ในเฟซบุคแกก็กลับตาลปัตรมีแต่คนเข้ามาชมมาแชร์แคมเปญของแกแบบมหาศา่ล

ในเชิงตัวเลขและผลตอบแทน มีคนที่ได้ดูแคมเปญนี้มากถึง 172 ล้านครั้งแค่เฉพาะในโซเชียลมีเดีย และจากการลงทุนในการสร้างแคมเปญ 6 พันเหรียญ ได้ผลตอบแทนจากพื้นที่สื่อฟรีคิดเป็นมูลค่าถึง 22 ล้านเหรียญ!! ขึ้น Trending Topic เป็นอันดับหนึ่งในบราซิลและอันดับสองของโลก และที่สำคัญที่สุดคือมีผู้ร่วมลงชื่อบริจาคอวัยวะกับมูลนิธิปลูกถ่ายอวัยวะเพิ่มขึ้นถึง 31.5% เพียงแค่ในเดือนแรกของการรันแคมเปญ

ลุงโคตรโหดเลย

Advertising Agency: LEO BURNETT TAILOR MADE SÃO PAULO, BRAZIL

Tagged , , , , , , , , , , ,

Peruvian Cancer Foundation: Searching for hearts

Searching for hearts1

เป็นปัญหาเหมือนกันทั้งโลก เมื่อหน่วยงานหรือมูลนิธิที่ทำงานด้านสังคมมักจะต้องประสบกับภาวะขาดแคลนเงินบริจาค ซึ่งถือเป็นรายได้หลักขององค์กร แน่นอนครับว่าถ้าไม่มีเงิน การขับเคลื่อนทางสังคมของมูลนิธิเหล่านี้ย่อมยากขึ้นหลายเท่าตัว จนบางครั้งบางมูลนิธิก็ถึงกับต้องปิดตัวลงเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน

ในเปรูก็มีมูลนิธิหนึ่งที่ประสบปัญหานี้เช่นกันครับ ‘Peruvian Cancer Foundation’ มูลนิธิที่ทำงานด้านการเยียวยาผู่ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะกับเด็กๆ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับมูลนิธินี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาคือมีคนสนใจที่จะบริจาคเงินน้อยมากและไม่สามารถระดมเงินได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ มูลนิธินี้จึงได้ฉุกคิดว่าพวกเขาคงจะต้องหาใครสักคนมาช่วยกู้วิกฤตในครั้งนี้

โดยปกติแล้ว การทำแคมเปญขอรับเงินบริจาคมักจะออกมาในรูปแบบไม่อ่อนก็แข็งไปเลย ในรูปแบบอ่อนก็อย่างเช่นอาจจะนัดอาสาสมัครไปเต้นกันตามที่สาธารณะ ไปยืนชูป้าย ไปแสดงละคร ซึ่งในความเห็นส่วนตัวผมมองว่าไม่ได้กระตุ้นให้คนอยากบริจาคมากขึ้นเท่าไหร่ หรืออย่างแข็ง เคยมีเคสหนึ่งที่ชื่อว่า “Fuck the poor” ที่ทำการทดลองเชิงสังคมด้วยการให้ชายคนหนึ่งแขวนป้านที่มีข้อความว่า Fuck the poor ไว้ตัวเบ้อเร่อ ซึ่งสุดท้ายคนที่เดินผ่านไปมาก็ทนไม่ได้ เข้ามาต่อว่ากันเสียๆหายๆ จนกระทั่งผู้ชายคนเดิมเปลี่ยนป้ายเป็น Help the poor กลับแทบไม่มีคนสนใจเลย ซึ่งครั้งแรกที่ดูผมก็ขึ้นเหมือนกันนะ แต่พอมาคิดดูอีกทีก็รู้ว่าบางครั้งเราก็ถูกชี้นำมากจนเกินไป ต่อมเหตุผลหยุดทำงานไปชั่วขณะ

ที่ยกเคสมาให้ดูเพราะผมกำลังจะบอกว่าแคมเปญนี้สามารถหาจุดกึ่งกลางของความอ่อนและความแข็งได้อย่างพอเหมาะพอเจาะไปเลย มูลนิธินี้เริ่มต้นด้วยโจทย์ที่ประหลาดมาก “ในเมื่อคนทั่วไปไม่อยากบริจาค เราก็ไปหาคนที่ดูจิตใจหยาบช้าที่สุดดูซิ ดูว่าพวกเขาจะตอบสนองกับมันยังไง”

ถ้าเป็นคุณ คุณจะไปหาคนที่จิตใจหยาบที่สุดได้ที่ไหนครับ? ให้เวลาคิด 2 วินาที………………………… หมดเวลาครับ คำตอบคือ “ในคุก” ไงครับ

แคมเปญนี้เริ่มต้นด้วยการเข้าไปที่คุก Castro Castro คุกที่ได้ชื่อว่ามีการป้องกันสูงสุด อันตรายที่สุด เป็นแหล่งรวมของหัวขโมย ฆาตกร ผู้ก่อการร้ายและอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งบุคคลเหล่านี้มักถูกตีตราจากสังคมว่าเป็นพวกที่ไร้หัวใจผิดมนุษย์มนาที่สุดในประเทศ

ในเมื่อมันขอบริจาคจากคนภายนอกไม่ได้ ก็ประชดโลกมันด้วยการขอรับเงินบริจาคจากคนในคุกนี่แหละ แล้วลองดูซิว่าคนหยาบพวกนี้จะเจ๋งมากแค่ไหน โดยเริ่มต้นจากการเชิญนักโทษตัวแทนจากแต่ละแดนมาดูวิดีสัมภาษณ์เด็กน้อยที่ป่วยเป็นมะเร็งที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิ และให้เวลา 5 วันสำหรับการไปเรี่ยไรเงินบริจาคจากนักโทษด้วยกันเอง (ยังสงสัยว่าทำไมนักโทษถึงมีเงินไว้ในครอบครอง)

และผลก็เป็นไปตามคาดครับ 52 กระป๋องบริจาคที่เข้าไปสู่คุกที่อันตรายที่สุดในประเทศกลับออกมาด้วยเงินที่เต็มทุกกระป๋อง พร้อมกับโปรเจ็คพิเศษที่นักโทษได้ร่วมกันทำของขวัญชิ้นพิเศษ 382 ชิ้น จดหมายให้กำลังใจ 223 ฉบับ สำหรับเด็กที่อยู่ในการดูแลของมูลนิธิ จนกระทั่งวิดีโอของโปรเจ็คนี้ได้ออกสู่สายตาสาธารณชน พวกเขาจะรู้สึกละอายมากแค่ไหนที่ได้รู้ว่าเงินช่วยเหลือเด็กที่เป็นมะเร็งมาจากคนที่หัวใจหยาบที่สุด

แล้วก็เป็นไปตามคาดครั้งที่สองครับ เจอแบบนี้เข้าไปใครมันจะไปทนไหว เหมือนถูกกระชากต่อมรู้สึกผิดแบบรัวๆๆๆๆ แคมเปญนี้กวาดพื้นที่สื่อไปแบบมหาศาล จากการลงทุน 6,500 USD ได้ผลตอบกลับถึง 350,000 USD ส่วนมูลนิธิก็ได้รับเงินบริจาคเพิ่มขึ้นถึง 33% เทียบจากปีก่อน ทำลายสถิติของการระดมทุน ถึงขนาดมีคนเรียกร้องให้ทำแคมเปญนี้เป็นประจำทุกปี

งานนี้คนต้องขอบคุณพี่ๆนักโทษทั้ง 2,485 คนที่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คนที่หยาบที่สุดก็ยังเห็นคุณค่าของการทำแคมเปญครั้งนี้ และถือเป็นการชำระบาปในใจ ให้พวกเขาได้สัมผัสถึงการทำความดีครั้งใหญ่สักครั้ง แม้กระทั่ง…………….อยู่ในคุก

Advertising Agency: Mayo Draftfcb, Lima, Peru

Searching for hearts

Tagged , , , , , , , , , ,

Sahabat Anak & ISCO: Graffiteach – The Learning Walls

Graffiteach1

บรรยากาศบ้านเราที่มีเด็กเดินขายพวงมาลัยตามสี่แยกหรือเด็กที่นั่งขอทานตามสะพานลอย เห็นแล้วก็พลอยนึกสงสารว่าโตขึ้นมาพวกเขาจะเป็นผู่ใหญ่แบบไหน เขาจะได้เข้าโรงเรียนหรือเปล่า ก็ได้แต่คิด คนตัวเล็กๆอย่างเราจะไปทำอะไรได้ ถูกไหมครับ?

บรรยากาศ เด็กตามข้างถนนที่บ้านเราคงไม่ผิดแปลกไปจากอินโดนีเซีย เพื่อนร่วมชาติอาเซียนของเรา แต่สิ่งที่แตกต่างคือพวกเขาลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อให้เด็กๆเหล่านี้รู้สึก รักที่อยากจะเรียนหนังสือ ด้วยวิธีการสร้างสรรค์ ในเมื่อพวกเขารู้ว่าเด็กเหล่านี้ไปโรงเรียนไม่ได้ เขาก็เอาโรงเรียนเข้ามาหาเด็กๆแทนครับ

ศิลปิน กราฟฟิตี้ที่คนทั่วไปมักมองว่าเป็นพวกทำลายข้าวของ หรือดีขึ้นมาหน่อยก็อาจจะทำเป็นงานศิลปะ แต่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ทางสังคม ผู้จัดแคมเปญเขาก็เชิญคนเหล่านี้มาช่วยกันเนรมิตบนเรียนวิชาภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิชาอื่นๆอีกมากมายมาไว้ตามกำแพงหรือตอม่อสะพาน เรียกได้ว่าเป็นบทเรียนแบบ Infographic ที่ผมเห็นแล้วยังรู้สึกอิจฉาเลย

จาก นั้นก็เชิญครูอาสามาช่วยกันสอนเด็กๆ พร้อมกับทำหนังสือรูปภาพ “Graffiteach” เพื่อให้เข้าถึงเด็กด้อยโอกาสในกลุ่มอื่นๆและเพื่อเป็นแบบฝึกหัดด้วย

แคมเปญนี้มีเด็กๆเข้าร่วมมากถึง 200 คน หนังสือรูปภาพถึงมือเด็กๆกว่า 800 เล่ม ไม่เลวเลยใช่ไหมครับ 🙂

ถึงแม้ว่าแคมเปญนี้จะไม่มีศักยภาพถึงขนาดดึงเด็กๆออกจากสภาพความเป็นอยู่ ปัจจุบันเพื่อผลักดันเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ แต่อย่างน้อยที่สุด แคมเปญนี้ก็ได้ปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ให้กับเด็กตัวน้อย  ผมว่าโอเคเลยนะ 🙂

This project brought maths, science and English lessons to street children who don’t attend school through graffiti art and teacher-led lessons on the street.

Graffiteach6

Graffiteach2 Graffiteach3 Graffiteach4 Graffiteach5

Advertising Agency: The Campaign Palace Indonesia

 

 

Tagged , , , , , , , , ,

BADT: A piggy bank for the homeless

homeless piggy bank1

ตอนแรกที่ดูแคมเปญนี้บอกเลยว่าค่อนข้างแปลกใจ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งปกติมักจะมองเห็นภาพว่าเป็นเมืองที่เงียบสงบ  เมืองที่ดูมีวัฒนธรรม อยู่แล้วน่าจะมีความสุข จะมีคนไร้บ้านมากถึงขนาดต้องตั้งองค์กรช่วยเหลือโดยเฉพาะ

คือ เรื่องมันมีอยู่ว่าในเนเธอร์แลนด์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่อัตราการจ้างงานต่ำมาก คนตกงาน แล้วมันดันมาป๊ะกับราคาบ้านที่แพงขึ้น มันก็เลยทำให้คนที่ไม่พร้อมทางด้านคุณทรัพย์ต้องออกมาเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ซึ่งเค้าบอกว่ามีมากถึง 15,000 คนและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าปัญหานี้ได้กลายเป็นประเด็นทางสังคมขึ้นมา

โชคดีที่วงการเอเจนซี่ได้มองเห็นว่าปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ และมองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง

จึึง เป็นที่มาของแคมเปญ “หุ่นออมสินเพื่อคนไร้บ้าน” หุ่นลองเสื้อผ้าที่ถูกนำมาปรับเพื่อใช้การนี้โดยเฉพาะ ด้วยการจับแต่งองค์ทรงเครื่องให้เหมือนกับคนไร้บ้าน ทำรอยบากบนหน้าผากของหุ่นเพื่อขอรับบริจาคเงิน พร้อมกับป้ายขอความช่วยเหลือ BADT องค์กรที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือบุคคลไร้บ้าน  จากนั้นก็นำไปวางไว้ตามมุมต่างๆในอัมสเตอร์ดัม

โดย สิริรวมแล้ว งบประมาณที่ใช้ทำโปรเจ็คนี้ใช้เงินไม่ถึง 100 ยูโร ทั้งหุ่นและเสื้อผ้าก็ได้รับบริจาคมาก คงต้องรอดูอีกสักเดือนสองเดือนว่าผลจะเป็นยังไง แต่โดยรวมสำหรับในแง่ของการสื่อสาร Message นั้นทำได้ดีและมีพลังมวาก ชื่นชมจากใจเลย

homeless piggy bank2

Inspired by recent articles in Dutch newspapers illustrating the growing issue of homelessness in the city, over 15,000 and counting, a wider conversation opened up within the agency that presented the question ‘What can we do to help?’ Immediately, ‘A Piggy Bank For the Homeless’, an awareness and fundraising campaign designed to help tackle the homeless issue head-on, was born. The concept was simple: in order to get more homeless people off the streets we would put more homeless people on the streets. The execution: source mannequins, dress them in shabby, used clothes and install a roughly cut-out money slot on top of the head to resemble a piggy bank. The result is an a thought- provoking online film, shot on location in Amsterdam, with the mannequins in situ, similar to those of the homeless, with hand-written cardboard signs asking for donations to support BADT. The entire project took less than a week to make and came in at under €100. The mannequins were sourced for free, other colleagues at JWT Amsterdam donated clothing.

Advertising Agency: JWT, Amsterdam, The Netherlands

Tagged , , , , , , , ,

Casa de la Amistad: The Hairfest

THE HAIRFEST

ตอนดูช่วงแรกๆก็นึกว่าจะเป็นแคมเปญแนวดราม่า แต่ที่ไหนได้ นี่มันแคมเปญของชาวร็อคคคคคค!!

คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ในเม็กซิโกมีกลุ่มเด็กตัวเล็กๆที่ป่วยเป็นมะเร็งซึ่งต้องเข้าคีโมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าจะต้องโกนผม ซึ่งการโกนผมมันมีส่วนทำให้เด็กรับรู้และหมดกำลังใจที่จะต่อสู้กับโรคร้าย ครั้นจะไปหาซื้อวิกมาก็ไม่มีเงินเพราะอยู่ในฐานะยากจน

แคมเปญนี้จึงได้ตั้งโจทย์ว่าจะทำยังไงดีให้เด็กๆมีวิกใส่เพื่อสร้างกำลังใจโดยที่เสียเงินให้น้อยที่สุด คิดไปคิดมาหวยก็ออกที่กลุ่มชาวร็อคเฮฟวี่เมทัล ซึ่งโดยลักษณะของคนที่ฟังเพลงแนวนี้มักจะไว้ผมยาวมากเพื่อที่จะเอาไว้สะบัดความมันเวลาเล่นดนตรีหรือเวลาไปดูคอนเสิร์ต แคมเปญนี้ก็เลยจัดคอนเสิร์ตเฮฟวี่เมทัลขึ้นมา 8 ชั่วโมงเต็มกับอีก 9 วงเมทัล เรียกได้ว่าถ้าเป็นงานปกติก็คงสะบัดกันหัวหลุดเลยทีเดียว แต่ช้าก่อนครับ! คอนเสิร์ตนี้ไม่ได้ขายบัตรเป็นตัวเงินครับ แต่เขาขอแลกเส้นผมอันยาวสลวยของชาวเมทัลกับสิทธิ์ที่จะได้เข้าชมคอนเสิร์ตในครั้งนีั้

แล้วก็เป็นไปตามที่คาดครับ มีชาวร็อคที่อยากจะแลกเส้นผมกับบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตไม่น้อยเลย มีบางคนถึงกับน้ำตาซึมในขณะที่โดนไถหัว (ไม่รู้ว่าเสียดายผมหรือซาบซึ้งที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์) แต่สุดท้ายแล้ว ผมลัพธ์ของแคมเปญนี้ก็ทำให้เด็กๆมีวิกผมใหม่ถึง 107 วิก ซึ่งเทียบเท่ากับการบริจาคในระยะเวลา 1 ปี มูลค่าต่อวิกหนึ่งชิ้นอยู่ที่ 1,500 เหรียญ 100 ชิ้นก็คูณเอา (มาถึงตอนนี้ก็ตกใจว่าวิกผมมันแพงขนาดนั้นเลยเหรอ) นี่มันไม่ใช่แคมเปญเล็กๆเลยนะเนี่ย

ผลของแคมเปญนี้เข้าถึงผู้คนทางโซเชียลเน็ตเวิร์คถึง 9 ล้านคน ได้ออกสื่อฟรีคิดเป็นมูลค่า 5 แสนเหรียญ และที่สำคัญที่สุดที่ทำให้แคมเปญนี้มีคุณค่าก็คือการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับชาวเมทัลร็อค จากที่เคยถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรง อารมณ์แปรปรวน แต่เมื่อมาถึงจุดนี้พวกเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะแบ่งปันสิ่งดีๆเพื่อสังคมเช่นกัน เลิศศศศศศศศศศศศศ

Advertising Agency: Ogilvy & Mather, Mexico City, Mexico

Tagged , , , , , , , ,

Australian Paralympic Committee: We believe

We Believe

การไปแข่งขันกีฬาพาราลิมปิคในออสเตรเสียจำเป็นต้องได้รับเงินบริจาคจากสาธารณะ แต่มีน้อยคนที่รู้และตระหนักเรื่องนี้ จึงทำให้โอกาสการไปแข่งขันของนักกีฬาพาราลิมปิคทีมชาติออสเตรเลียดูเลือนลางลงทุกๆครั้ง โดยในอนาคตจะมีการแข่งขันพาราลิมปิคเกมฤดูหนาว (Sochi 2014) ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (แคมเปญนี้จัดก่อนหน้านั้น) และพาราลิมปิคใหญ่ที่ Rio ในปี 2016 ทีมนักกีฬาต้องเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนเงินทุนอย่างหนักหน่วง ทำให้พวกเขาไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าจะได้ไปแข่ง

คณะกรรมการพาราลิมปิคแห่งออสเตรเลียมองเห็นปัญหานี้ จึงได้เริ่มต้นแคมเปญ “We believe” ซึ่งเป็น Platform สำหรับการระดมทุนสนับสนุนให้นักกีฬาพาราลิมปิคแบบเป็นรายบุคคล และที่ยิ่งไปกว่านั้น แคมเปญนี้ก็ได้ใช้แฮชแทก #pledgeyourbelief เพื่อส่งกำลังใจให้กับนักกีฬา และผลก็เป็นไปตามคาด นักกีฬาได้ไป Sochi จริงๆ และในช่วงที่เริ่มแคมเปญ มีคนสนใจมากกว่าที่ประมาณการไว้ถึง 50 % ได้รับแรงสนับสนุนจากบริษัทใหญ่รวมถึงสายการบิน Qantus ถ้ายังไม่เห็นภาพ ต้องดูวิดีโอครับ 🙂

Despite the Australian Paralympic Team’s success over recent Paralympics, few Australians were aware that the team relied on public donations to compete. Facing a critical funding shortfall for Sochi 2014 and Rio 2016, the APC tasked us to turn the interest and support of the public into a financial commitment.

Advertising Agency: MercerBell, Sydney, Australia

Tagged , , , , , , , ,

Unilever, Domestos and UNICEF: See through Loo

See Through Loo

A clever ambient outdoor stunt from DLKW Lowe for Unilever brand Domestos. A Bronze Lion winner at Cannes 2013.

A see through toilet was constructed in London to show how the billion third-world people feel when they have to go the toilet in the open, in full view.

Advertising Agency: DLKWLowe, London, United Kingdom

Tagged , , , , , , ,